คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต
เริ่มมีสัญญาณชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าโลกกำลังนับถอยหลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession)
ที่เห็นชัด ๆ ไม่พ้นราคาน้ำมันและทองคำที่ดิ่งลง จากความกังวลว่าในช่วงปลายปี หรือต้นปี 2566 เศรษฐกิจทั่วโลกจะเกิดปัญญา
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
- ราคาทองวันนี้ (29 มี.ค. 67) พุ่งกระฉูด 600 บาท ทองรูปพรรณบาทละ 39,050 บาท
- เลิกอุ้มดีเซล 30 บาท จ่อขยับเพดานราคา 2 บาท มีผล 1 เมษายน 2567
แต่เดิมประเมินกันว่าสหรัฐอเมริกา น่าจะโดนหนักเป็นรายแรก ๆ เพราะภาวะเงินเฟ้อที่สูงจัด ๆ จนธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ต้องขยับดอกเบี้ยแบบยาแรงครั้งละ 0.75% ติดต่อกันถึง 3 รอบ
โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยแบบดุดันครั้งแรกเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ปรับขึ้น 0.75% ถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยจำนวนมากที่สุดในรอบ 28 ปี
เรื่องของเรื่องเพราะตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ค.ปิดที่ 8.2% สูงสุดในรอบ 40 ปี
แต่แม้จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกไปแล้ว แต่ยังกดตัวเลขเงินเฟ้อไม่ลง จนต้องปรับดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันอีก 2 รอบต่อเนื่อง
จนถึงสิ้นปีคาดว่าต้องปรับอีก 2 ครั้ง แต่หากตัวเลขเงินเฟ้อพอบรรเทาลงบ้างอาจไม่จำเป็นต้องขึ้น 0.75% ทุกครั้ง
แต่กระนั้นถึงสิ้นปีคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐจะไม่ต่ำกว่า 4%
ถ้าจะว่าไปแล้วหากนับนิยามของเศรษฐกิจถดถอย สหรัฐที่การเติบโตทางเศรษฐกิจตกต่ำถึง 2 ไตรมาสติดต่อกัน รวมถึงการหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ถือว่าเข้าข่ายแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ส่วนการใช้ยาแรงด้วยการขึ้นดอกเบี้ยสูงอย่างต่อเนื่อง ในอดีตที่ผ่านมาเกิดขึ้นหลายครั้ง และส่วนใหญ่สหรัฐหนีไม่พ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตาม มาถึงตอนนี้ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย กำลังเปลี่ยนไปที่ยุโรป เนื่องจากปัญหารัสเซียพยายามบุกยึดยูเครน จนนำมาสู่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหลาย ๆ ประการ
หลัก ๆ คือไม่นำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ที่ถือว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ให้ยุโรป
ผลที่ตามมากระทบกับยุโรปเอง ที่ราคาพลังงานปรับขึ้นสูงและต้องประหยัดกันสุดฤทธิ์
จนทำให้คนบางกลุ่มออกมาเหน็บ ทำนองว่าหาเรื่องเจ็บเอง
ทั้ง ๆ ที่ว่าไปแล้วถือว่าเป็นความจำเป็นที่ทั่วโลกไม่ควรเห็นด้วย และต้องมีมาตรการกดดันกับประเทศหนึ่งที่ตั้งใจบุกยึดประเทศอื่น ทั้ง ๆ ที่โลกพ้นจากการล่าอาณานิคม ล่าเมืองขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว
ทั้งปัญหาพลังงาน บวกกับเกือบทุกประเทศยุโรปแห่ขึ้นดอกเบี้ยสู้เงินเฟ้อ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า ยุโรปจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นกลุ่มแรก ๆ
ส่วนประเทศไทยที่โดนเงินเฟ้อถล่มไม่ต่างจากทั่วโลก และใช้มาตรการด้านดอกเบี้ยเช่นกัน เพียงแต่ปรับขึ้นไม่มากนัก
หากโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไทยหนีไม่พ้นตกอยู่ในพายุลูกนี้เช่นกัน เพราะแม้เชื่อว่าภาคส่งออกและท่องเที่ยวจะได้อานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่า
แต่หากเศรษฐกิจโลกไม่สดใส การส่งออกและท่องเที่ยวย่อมได้รับผลกระทบ
ในทางกลับกันเงินบาทอ่อนทำให้ไทยต้องนำเข้าสินค้าราคาแพงกว่าปกติ ยังดีที่ช่วงนี้ราคาน้ำมันโลกทรงตัวในระดับไม่สูงมากนักเพราะกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก
แต่เมื่อเข้าช่วงปลายปีที่ยุโรปต้องใช้พลังงานมากขึ้น บวกกับทิศทางเงินบาทยังอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ เหมือนที่ผ่านมา ไทยเราต้องกระทบไม่มากก็น้อย
ยิ่งหากการมาถึงของพายุ “recession” หรือเศรษฐกิจถดถอย ลุกลามไปทั่วโลก
ยังไม่นับเศรษฐกิจจีน ที่ใหญ่อันดับ 2 ของโลกไม่สู้ดีนัก
เรียกว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ประเดประดังเข้ามาพร้อม ๆ กัน ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า
รัฐบาลไทยที่ถือว่าอยู่ในช่วงท้าย ๆ ของเทอมแล้ว จะวางแผนรับมือได้มากน้อยขนาดไหน
เพราะลำพังการตั้งความหวังไว้ที่ภาคส่งออกและท่องเที่ยว ถึงตอนนี้อาจไม่เพียงพอแล้ว