ขนส่งทางถนนอ่วม น้ำมัน “ดีเซล” แพงต่อเนื่อง

ขนส่งทางถนน
คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : พงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ Krungthai COMPASS

แม้ราคาน้ำมันดีเซลจะปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์/ลิตร จาก 34.94 บาท/ลิตร 
มาอยู่ที่ 34.44 บาท/ลิตร

อย่างไรก็ดี Krungthai COMPASS คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในปี 2566 จะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 4.9% มาอยู่ที่ 34.7 บาท/ลิตร จากราคาเฉลี่ย 33.1 บาท/ลิตร ในปี 2565 เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มจะกลับมาเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากน้ำมันดีเซลเพิ่มเฉลี่ย 2.8 บาท/ลิตร ในปี 2566 เพื่อลดภาระกองทุนน้ำมันที่ติดลบสูงถึง 1.1 แสนล้านบาท (ณ 29 ม.ค. 2566) หรือเพื่อช่วยชดเชยภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ในกรณีที่ไม่ต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาท/ลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 20 พ.ค. 2566

นอกจากนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยยังคงเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อย่างน้ำมันดิบดูไบที่คาดว่าอยู่ในระดับสูงในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยจะอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา ส่วนในระยะถัดไป ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงเหลือ 32.9 บาท/ลิตร ในปี 2567

ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่มีทิศทางในขาขึ้น ย่อมสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรสุทธิของภาคธุรกิจของไทย โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า ทุก 1% ของราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตรากำไรสุทธิของภาคธุรกิจโดยรวมของไทยลดลงประมาณ 0.06% โดยประเมินจากสัดส่วนต้นทุนน้ำมันต่อต้นทุนทั้งหมดของธุรกิจทั้งหมด 180 ประเภท จาก I/O Table ของสภาพัฒน์ ภายใต้สมมุติฐานต้นทุนอื่น ๆ นอกเหนือจากค่าน้ำมันดีเซลและรายได้คงที่ในช่วงปี 2564-2567

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่ใช้น้ำมันดีเซลอย่างเข้มข้นที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลค่อนข้างมาก ได้แก่ ธุรกิจขนส่งสินค้าทางถนน และ ธุรกิจขนส่งผู้โดยสารทางถนน ซึ่ง Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากค่าน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้อัตรากำไรของผู้ประกอบการกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะลดลงราว 0.27% และ 0.43% ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจทั้งสองมีสัดส่วนน้ำมันต่อต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยสูงถึงราว 30% อีกทั้งยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนการใช้น้ำมันดีเซลสูงถึงราว 60% ของปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลทั้งหมดในประเทศไทยใน 10 เดือนแรกของปี 2565

เพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงในอีก 1-2 ปีข้างหน้า Krungthai COMPASS แนะผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางถนนต้องเร่งปรับตัว โดยมองว่าแนวทางที่เหมาะสม มีดังนี้ 1) ควรติดตั้งเทคโนโลยี real-time GPS tracking หรือ telematics เพื่อควบคุมพฤติกรรมการใช้ยานพาหนะที่สิ้นเปลืองน้ำมัน เช่น ขับยานพาหนะเร็วเกินไป 2) ควรจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าตามแหล่งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับจังหวัดของลูกค้าหลัก รวมทั้งขนส่งสินค้าร่วมกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ใช้เส้นทางร่วมกัน

และ 3) หันมาใช้รถบรรทุกไฟฟ้าแทนที่การใช้รถบรรทุกเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันดีเชล