หรือ เมตาเวิร์ส จะสิ้นมนต์ขลัง

เมตาเวิร์ส
PIXABAY
คอลัมน์​ : Tech Times
ผู้เขียน : มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

ยังจำ “เมตาเวิร์ส” กันได้หรือเปล่า

คำนี้ดังเป็นพลุแตกช่วงปลายปี 2021 เมื่อมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จัดงานแถลงข่าวประกาศวิสัยทัศน์ใหม่พร้อมกับการรีแบรนด์ครั้งสำคัญ โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการมุ่งสู่โลก “เมตาเวิร์ส” พร้อมทุ่มงบฯมหาศาลเพื่อสร้างโลกแห่งอนาคตที่เขาหวังว่าจะมาแทนที่โลกออนไลน์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

มอตโตใหม่ประจำองค์กรคือ บริษัทจะให้ความสำคัญกับ “เมตาเวิร์ส” เป็นอันดับแรก หรือ “Metaverse-first, not Facebook-first”

หลังจากนั้น “เมตาเวิร์ส” ก็กลายเป็นคำฮิตติดปาก มีบทวิเคราะห์ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความล้ำยุคของเทคโนโลยีในการสร้างโลกเสมือน โอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งผลกระทบทางสังคม

แต่ผ่านไปแค่ปีครึ่ง “เมตาเวิร์ส” ก็ดูจะสิ้นมนต์ขลัง

หากลองค้นคำว่า “เมตาเวิร์ส” ในกูเกิล เทรนด์ จะพบว่าการค้นหาคำนี้ลดลงไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์

วันนี้ “เมตาเวิร์ส” ถูกแทนที่ด้วยChatGPT แชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI อัจฉริยะ ซึ่งกลายเป็นดาวดวงใหม่แห่งวงการหลังจากเปิดตัวได้ไม่กี่เดือน (ล่าสุด ปล่อยเวอร์ชั่นใหม่ ๆ -GPT4 ออกมาที่ว้าวกว่าเดิม เพราะสามารถทำคะแนนได้ดีกว่ามนุษย์ในการสอบหลายอย่าง ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นการสอบเนติบัณฑิตหรือที่เรียกว่า bar exam ที่ GPT4 สามารถทำคะแนนได้สูงกว่า 90% ของนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมด)

แต่ ChatGPT ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ “เมตาเวิร์ส” หลุดจากตำแหน่ง “ลูกรัก” ของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

เหตุผลหลักน่าจะมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจที่ปลุกให้เขาต้องตื่นจากฝันอันบรรเจิดมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้าย

ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกทำให้บิ๊กเทคหลายราย รวมทั้ง Meta ต้องพากันรัดเข็มขัดอย่างหนัก และหันมาให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพจากทรัพยากรที่มีอยู่ให้มากที่สุด

โฟกัสของ Meta จึงเปลี่ยนจาก “Metaverse-first” มาเป็น “Efficiency-first” และปรับเป้าหมายในการลงทุนใหม่จากเดิมที่ทุ่มทุนสร้าง “เมตาเวิร์ส” มาเป็นการพัฒนา AI เพื่อไม่ให้ล้าหลังคู่แข่งอย่าง Microsoft และ Google ที่แข่งกันเป็นเจ้าตลาด AI กันอย่างหนักในตอนนี้

ในจดหมายที่มาร์กเขียนถึงพนักงานเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากจะแจ้งข่าวร้ายเรื่องการเอาพนักงานออกอีกราว 1 หมื่นคน และมาตรการรัดเข็มขัดอื่น ๆ แล้ว ยังพูดถึงทิศทางการลงทุนของบริษัทที่จะมุ่งสู่การพัฒนา AI เป็นหลัก

โดยบริษัทหวังว่าจะผนวกเครื่องมือ AI ให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของบริการหลักอื่น ๆ รวมทั้งใช้เพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร เช่น ช่วยในการเขียดโค้ด

มาร์กพูดถึง “เมตาเวิร์ส” ไว้ว่า การสร้างเมตาเวิร์สยังคงเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของโลกการติดต่อสื่อสารแห่งอนาคต แต่ไม่ใช่โครงการที่บริษัทจะทุ่มงบประมาณให้มากที่สุด

ถือเป็นการกลับตัวครั้งใหญ่ของมาร์กเลยทีเดียว เพราะกลางปีที่แล้วเขายังประกาศมั่นว่าจะเดินหน้าโครงการ “เมตาเวิร์ส” ต่อไป แม้ผู้ถือหุ้นจะไม่สบายใจกับเม็ดเงินมหาศาลที่มาร์กทุ่มลงไปในโครงการนี้ก็ตาม

และแม้บิ๊กเทครายอื่นจะมีรายได้จากการโฆษณาลดลงเช่นกัน อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ทำให้ลูกค้าตัดงบฯโฆษณาเป็นทิวแถว แต่ Meta ถูกจับจ้องเป็นพิเศษจากนักลงทุนและผู้ถือหุ้น เพราะนอกจากรายได้จะน้อยลงแล้ว รายจ่ายยังพุ่งขึ้นด้วย โดยหนึ่งในรายจ่ายหลักมาจากการทุ่มพัฒนา “เมตาเวิร์ส” ที่ทำให้บริษัทสูญเงินไปแล้วกว่า 13.7 พันล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา

ดังนั้น การเร่งดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายและการเปลี่ยนมาโฟกัสที่การพัฒนา AI จึงทำให้นักลงทุนหายใจหายคอคล่องขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นหลังจากหล่นฮวบไปเมื่อปีก่อน

แต่ก็ใช่ว่าจะคลายกังวลได้ทีเดียว เพราะต้องรอดูด้วยว่ากลยุทธ์ใหม่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้จริงหรือไม่ รวมทั้งบริษัทจะกวดไล่ตามคู่แข่งในสนาม AI ได้แค่ไหน และท้ายสุด “เมตาเวิร์ส” จะมีบทสรุปไปในทิศทางใด ก็ยังเป็นเรื่องให้นักลงทุนได้ลุ้นกันต่อไป