คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ
โดย ประเสริฐ จารึก
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- KNLA ถอนกำลังจากเมียวดี ไปโจมตีทหารเมียนมากองพล 55 ผู้ลี้ภัยข้ามฝั่งกลับแล้ว
อีกเดือนเศษ ๆ จะหมดไตรมาสแรกของปี 2561
แต่ดูเหมือนการผลักดันงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ภายใต้การขับเคลื่อนของ “รัฐบาลทหาร” ยังนิ่งสงบ
ไม่คึกคักอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง และเฝ้ารอ
ทุกโปรเจ็กต์ที่บรรจุไว้ใน Action Plan หรือแผนปฏิบัติการเร่งด่วนปี 2561 จำนวน 44 โครงการ มูลค่าลงทุนร่วม 2 ล้านล้านบาท
ล้วนเป็นโครงการเก่าที่นำมาเล่ากันใหม่ นับจากรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่กลางปี 2557
ผ่านมากว่า 3 ปี โครงการเหล่านี้ก็ยังไม่คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมมากนัก
มีบางโครงการไทม์ไลน์ต้องขยับจาก “แรมเดือน” เป็น “แรมปี”
ไม่รู้ถึงสิ้นปีจะได้เห็นการอนุมัติและเปิดประมูลโครงการได้มากน้อยแค่ไหน
วันนี้มูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 2 ล้านล้าน หากปล่อยเวลาเนิ่นนานออกไป โอกาสที่เงินลงทุนจะทะยานไปมากกว่านี้ก็มีสูง
เพราะต้นทุนก่อสร้างวิ่งขึ้นตามดัชนีวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และราคาที่ดิน
บทเรียนจากมอเตอร์เวย์ “บางใหญ่-กาญจนบุรี” มีค่าเวนคืนเพิ่มขึ้น 280% จากเดิม 5,420 ล้านบาท เป็น 19,737 ล้านบาท
น่าจะสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง
ไม่ว่าการบริหารและขาดความรอบคอบในการรีเช็กข้อมูล ก่อนที่จะเสนออนุมัติโครงการ
มอเตอร์เวย์สายนี้ผลการศึกษาเสร็จเมื่อปี 2551 ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อกลางปี 2558 โดยไม่ได้รับการตรวจสอบข้อมูลสภาพพื้นที่ว่าเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
ทั้งราคาที่ดินที่ต้องปรับทุก 5 ปี ศูนย์การค้าและหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างใหม่
เพิ่งมาสำรวจจริงจัง หลังโครงการได้รับไฟเขียวไปแล้ว ถึงกับผงะค่าเวนคืนที่เพิ่มกระฉูด จากรถไฟฟ้าสายสีม่วง หมู่บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้าที่ปั่นราคาที่ดินให้สูงลิ่ว
ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน กรมทางหลวงเคยเปิดประมูลมอเตอร์เวย์ “บางใหญ่-บ้านโป่ง” ระยะทาง 51 กม.ไปแล้ว เป็นรูปแบบ PPP วงเงิน 17,126 ล้านบาท มีค่าเวนคืนกว่า 4,000 ล้านบาท
แต่ไม่ได้รับความสนใจจากเอกชน จนมาปัดฝุ่นใหม่ขยายไปถึงกาญจนบุรี
หากวันนั้นรัฐกล้าเดินหน้าก่อสร้างอย่างจริงจัง คงประหยัดค่าเวนคืนในวันนี้ไปได้บ้าง
“รถไฟฟ้าสายสีม่วง” ช่วงเตาปูน-บางใหญ่ เป็นอีกโครงการที่ให้เห็นภาพของการตัดสินใจล่าช้าของผู้คุมนโยบาย ที่เสียเวลากว่า 2 ปีเจรจาเอกชนเพื่อเดินรถขาดช่วง 1 สถานี (เตาปูน-บางซื่อ)
กว่าจะตัดสินใจได้ ปล่อยให้ประชาชนตาดำ ๆ ตกระกำลำบากต่อรถ 2 ต่อ เพื่อนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมืองร่วมปีกว่าจะเชื่อมกันติด
ที่สำคัญ รัฐต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปหลายล้านบาท จ้างรถเมล์ ขสมก.รับส่งผู้โดยสารจากเตาปูน-บางซื่อ
กำลังน่าเป็นห่วง “สถานีกลางบางซื่อ” ของรถไฟชานเมืองสายสีแดง (ตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต) มีกำหนดเปิดบริการในเดือน มิ.ย. 2563
ก็ยังไม่รู้จะเกิดเหตุซ้ำรอย “สายสีม่วง” หรือไม่
เมื่อผู้กำกับนโยบายยังไม่มีความชัดเจนในการบริหารพื้นที่ใช้สอยของสถานี 300,000 ตารางเมตร ที่ใหญ่พอ ๆ กับสนามบินสุวรรณภูมิ
เป็นงานเฉพาะหน้า-เฉพาะกิจที่ระดับนโยบายต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้
อย่าได้แต่จด ๆ จ้อง ๆ “เดี๋ยวเอาไว้ก่อน ค่อยมาคุยกันภายหลัง”
แล้วปล่อยให้ “การรถไฟแห่งประเทศไทย” ดำเนินการไปตามยถากรรม ไปดูโมเดลคนอื่นมาดำเนินการ
เมื่อต้องการให้ “สถานีกลางบางซื่อ” เป็นศูนย์กลางระบบรางที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและในภูมิภาค
ก็ต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ ปีนี้ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
มาเร่งรัดตัดตอน เมื่อใกล้ถึงวันเปิดใช้บริการ แล้วหาช่องทางพิเศษจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้เปิดได้ทันตามเดดไลน์
เหมือนหลาย ๆ โครงการที่ผ่านมา !