
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด ผู้เขียน : ภาณิศา ศานติศรัณย์, ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ จึงไม่แปลกใจที่หลาย ๆ ประเทศพยายามดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เกิดการแข่งขันกันลดภาษีให้กับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุน จนอัตราภาษีที่แท้จริงนั้นลดต่ำลงเรื่อย ๆ ประกอบกับปัจจุบันที่รูปแบบธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องตั้งสำนักงานในประเทศที่ให้บริการ ทำให้ประเทศดังกล่าวไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้
ด้วยเหตุนี้ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) จึงเสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (MNEs) ซึ่งมีสมาชิกกว่า 130 ประเทศเข้าร่วมข้อตกลงรวมถึงประเทศไทย โดยในปี 2567 จะเริ่มใช้จริงในบางประเทศ ผู้เขียนจึงอยากชวนผู้อ่านร่วมคิดไปด้วยกันถึงความท้าทายที่เราจะต้องเผชิญจากแนวทางการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่ที่มีต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย
OECD เสนอสองแนวทางในการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่ โดย แนวทางแรก (pillar 1) สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประเทศที่เป็นแหล่งรายได้ของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ไม่ว่าบริษัทจะตั้งถิ่นฐานในประเทศนั้น ๆ หรือไม่ก็ตาม โดย MNEs ที่เข้าเกณฑ์ คือ
1) มีรายได้ทั่วโลกมากกว่า 20,000 ล้านยูโรต่อปี 2) มีผลกำไรมากกว่า 10% ของรายได้ในประเทศนั้น และ 3) มีรายได้ในประเทศนั้นอย่างน้อย 1 ล้านยูโรต่อปี หรือราว 38 ล้านบาทต่อปี บริษัทจะต้องปันผลกำไรให้กับประเทศนั้นด้วย
โดยไทยจะได้รับประโยชน์จาก pillar 1 เนื่องจากไทยจะสามารถจัดเก็บภาษีกับบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้จำนวนมากจากผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งเดิมทีไม่สามารถทำได้ เช่น Netflix ผู้ให้บริการดิจิทัลที่มีรายได้จากคนไทยกว่า 630 ล้านบาทในปี 2565 ขณะที่ในอีกมุมหนึ่งบริษัท MNEs ของไทยยังมีขนาดเล็ก จึงยังไม่เข้าเกณฑ์นี้
แนวทางที่สอง (pillar 2) มีจุดประสงค์เพื่อหยุดการแข่งขันทางด้านภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุน และป้องกันการเลี่ยงภาษีของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ ที่อาจย้ายกำไรไปยังบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีภาษีต่ำ โดยกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก หรือ Global Minimum Tax (GMT) ที่ 15% สำหรับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่มีรายได้รวมเกิน 750 ล้านยูโรต่อปี
GMT ส่งผลให้หลายประเทศต้องปรับตัวโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ Tax Haven เช่น หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และสิงคโปร์ ขณะที่ไทยแม้ว่าจะมีการจัดเก็บอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ 20% แต่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงอยู่ต่ำกว่า 15%
บริษัทดังกล่าวจึงจะต้องถูกเก็บภาษีเพิ่ม (top-up tax) เพื่อให้ถึงขั้นต่ำที่ 15% GMT จึงถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายของหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ที่ต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ต้องการเป็นฐานการผลิตเพื่อให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในประเทศ
แนวทางที่จะช่วยลดผลกระทบจาก top-up tax ที่หลายประเทศให้ความสนใจ คือการให้เครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credits : QRTC) ซึ่งจะเป็นการคืนเงินภาษีในรูปแบบของเงินสดหรือสิ่งที่เทียบเท่า หากบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของประเทศผู้จัดเก็บภาษีกำหนด เช่น การนำเงินที่ได้คืนไปใช้เพื่อการวิจัยและพัฒนาสินค้าหรือบริการ
ทั้งนี้ QRTC เป็นแนวทางที่มีความยืดหยุ่น เนื่องจากสามารถแปลงเป็นเครดิตเพื่อชดเชยภาษีรูปแบบอื่น เช่น ภาษีทรัพย์สิน ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องสำรองเงินไว้เพื่อคืนให้แก่บริษัท สำหรับประเทศไทย BOI ได้เสนอแนวทางให้นำ top-up tax ที่บริษัทจ่ายสมทบเข้ากองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่อไป
แม้การแข่งขันด้านภาษีเงินได้นิติบุคคลจะไม่สามารถนำมาใช้ได้อีกตามข้อกำหนด GMT อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมองว่าไทยมีจุดขายอื่นที่สามารถดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติได้ ทั้งความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ห่วงโซ่อุปทานที่ครอบคลุม และสิทธิประโยชน์อื่นจาก BOI เช่น การให้บริการศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (OSOS) ที่อำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
นอกจากนี้การเพิ่มขีดความสามารถ โดยเฉพาะทักษะแรงงาน การเน้นสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีมากขึ้น และการยกเลิกกฎหมายที่ไม่จำเป็น เป็นส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมให้ไทยสามารถแข่งขันได้ ท่ามกลางความท้าทายในอนาคตที่ภาษีไม่ใช่ปัจจัยดึงดูดหลักอีกต่อไป