
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติ 6 ต่อ 1 เสียงเห็นควรให้ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปีต่อไปอีก โดยมีเพียงกรรมการ 1 เสียงที่เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี
มีข้อน่าสังเกตว่า การประชุม กนง.ครั้งนี้เสียงที่เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนั้น “ลดลง” จากการประชุมครั้งที่ผ่านมา (10 เมษายน 2567) ที่มีเสียงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ถึง 2 เสียง
คณะกรรมการ กนง.เห็นว่า ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% นั้น ยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการรักษาเสถียรภาพการเงินในระยะยาว โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวจาก Demand ในประเทศและจากภาคการท่องเที่ยว
รวมไปถึงการเบิกจ่ายเงินของภาครัฐที่จะกลับมาเร่งขึ้นในไตรมาส 2/2567 แต่ภาคการส่งออกซึ่งเป็นภาคสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังคงขยายตัวในระดับต่ำ
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้น และจะกลับสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2567 โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มใกล้เคียงของเดิมอยู่ที่ 0.6% และ 1.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% และ 0.9% ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปล่าสุดได้กลับมาเป็นบวก แต่มีแนวโน้มปรับขึ้นตามราคาพลังงานในประเทศ หลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะลดการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลในประเทศลง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ กนง.มีความกังวลต่อเนื่องมาโดยตลอดก็คือ ปัญหาภาระหนี้ของประชาชนและการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ที่ผ่านมาธุรกิจขนาดเล็กและภาคครัวเรือนรายได้น้อย ต้องเผชิญกับภาวะทางการเงินที่ตึงตัว การไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อความสามารถในการชำระหนี้ลดลงด้วยทำให้หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลที่ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ล่าสุดรัฐบาลได้จัดทำโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ขณะที่ กนง.เห็นว่า การให้สินเชื่อจึงต้องคำนึงถึงการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (Debt Deleveraging) ลง โดยให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อตามความสามารถในการชำระหนี้ควบคู่ไปกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้
ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามข้อเสนอของรัฐบาลจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น จะต้องติดตามทิศทางของเฟดในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งภาคการส่งออก การท่องเที่ยว การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และเงินเฟ้อที่จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปีนี้