
คอลัมน์ : นอกรอบ ผู้เขียน : Bnomics : ธนาคารกรุงเทพ
ภาคเกษตรของไทยจะถูกมองว่ามีบทบาทรองเมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและบริการในแง่ของการสร้าง GDP แต่ภาคเกษตรถือเป็นกลไกสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญวิกฤต ด้วยความสามารถในการรองรับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการลดการจ้างงานในภาคส่วนอื่น ๆ
ภาคเกษตรจึงช่วยลดความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชุมชนชนบทให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน
ตาข่ายนิรภัยทางเศรษฐกิจ
ภาคเกษตรของไทยได้แสดงบทบาทสำคัญในฐานะ “ตาข่ายนิรภัยทางเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือเผชิญวิกฤต ในช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปลายทศวรรษ 1990 การเพิ่มขึ้นของแรงงานภาคเกษตรที่เข้ามารองรับแรงงานจากภาคอุตสาหกรรมที่ถูกปลด การกลับไปสู่การเกษตรของแรงงานในชนบทช่วยลดผลกระทบปัญหาการว่างงานอย่างมีนัยสำคัญ
เช่นเดียวกับในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เมื่อแรงงานจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของภาคผลิตและบริการ ภาคเกษตร ไม่เพียงช่วยลดแรงกดดันด้านการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงในระดับครอบครัว ทำให้สังคมโดยรวมไม่เผชิญกับภาวะความตึงเครียดทางเศรษฐกิจมากเกินไป
และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แรงงานที่เคยพึ่งพาภาคเกษตรก็จะกลับไปหางานภาคส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ผกผันระหว่าง GDP และการจ้างงานในภาคเกษตรค่อย ๆ ลดลง ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของภาคเกษตรในฐานะกลไกรองรับแรงงาน
และทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจและสังคมไทยในช่วงเวลาวิกฤต สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของภาคเกษตรในฐานะเสาหลักที่ช่วยสร้างเสถียรภาพทั้งในระดับครัวเรือนและระดับประเทศ
นอกจากนี้ ยังเป็นกลไกที่ช่วยรักษาความมั่นคงทางสังคมและป้องกันไม่ให้ความตึงเครียดลุกลามในระดับที่อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ผู้นำส่งออกสินค้าเกษตรที่ท้าทาย
ประเทศไทยได้สร้างชื่อในฐานะประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก ครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับ 8 ของโลกในปี 2024 โดยรายได้การส่งออกสินค้าเกษตรช่วง 8 เดือนแรกปีนี้สูงถึง 7.11 แสนล้านบาท สินค้าหลักคือ ผลไม้ ข้าว และยางพารา ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังของสินค้าเกษตรท่ามกลางความท้าทาย
ผลไม้ : ดาวรุ่งแห่งการส่งออกไทย เช่น ทุเรียน มังคุด และมะม่วง ได้ก้าวขึ้นเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ จากเดิมสัดส่วน 4.7% ของมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2013 เพิ่มขึ้นเป็น 25% ในปี 2024 แซงหน้ายางพารา ที่เป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 การเติบโตนี้เกิดจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับรสชาติและคุณภาพของผลไม้ไทย
ข้าว : คุณภาพที่มากกว่าปริมาณ ไทยยังคงรักษาตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวคุณภาพสูงระดับโลก แม้จะเป็นผู้ส่งออกอันดับ 2 รองจากอินเดีย โดยเฉพาะ “ข้าวหอมมะลิ” ซึ่งข้าวไม่เพียงแต่ช่วยเหลือเกษตรกรหลายล้านคน แต่ยังสนับสนุนอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น การแปรรูปอาหาร
อย่างไรก็ดี คู่แข่งอย่างเวียดนามใช้กลยุทธ์ต้นทุนต่ำเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด ทำให้ประเทศไทยต้องมุ่งเน้นที่นวัตกรรมและสร้างแบรนด์เพื่อรักษาความได้เปรียบ
ยาง : จากผู้นำสู่ความท้าทาย ยางพาราเคยเป็นสินค้าส่งออกการเกษตรอันดับหนึ่งของไทย แต่ปัจจุบันมีแนวโน้มลดลง สัดส่วนส่งออกจาก 36.3% ปี 2013 เหลือเพียง 16.4% ในปี 2024 ผลจากการขยายการผลิตของประเทศต่าง ๆ รวมถึงการที่จีนซึ่งเคยเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของไทย หันไปขยายกำลังการผลิตในประเทศแทน
รับมือภัยคุกคามภาคเกษตร
ภาคเกษตรไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและความยั่งยืน หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฤดูกาลเพาะปลูก และผลผลิตในทุกภูมิภาคของประเทศ ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญาได้สร้างความไม่แน่นอนให้กับปริมาณน้ำฝนและรูปแบบสภาพอากาศ
ภาวะแห้งแล้งจากปริมาณน้ำฝนที่ไม่สม่ำเสมอและไม่เพียงพอยังสร้างปัญหาต่อเนื่องในหลายพื้นที่ การปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในเขตชลประทานกลายเป็นความเสี่ยงสูง เนื่องจากเกษตรกรกว่า 150 ล้านไร่ ยังต้องพึ่งพาน้ำฝนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ส่งผลให้ผลผลิตไม่สม่ำเสมอและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น
การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องพัฒนา เกษตรกรจำเป็นต้องมีแหล่งน้ำที่มั่นคงและเทคโนโลยีที่สามารถช่วยบริหารน้ำในพื้นที่เพาะปลูกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การนำระบบชลประทานอัจฉริยะหรือเทคโนโลยีการเกษตรที่ช่วยลดการใช้น้ำโดยไม่ลดคุณภาพผลผลิต
ค่าเงินและพลวัตการค้า
ความผันผวนของ “อัตราแลกเปลี่ยน” เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความซับซ้อนให้กับภาคเกษตรกรรมไทย โดยเมื่อ “เงินบาทแข็งค่า” ราคาสินค้าเกษตรส่งออกของไทยจะสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง
ในทางกลับกัน เมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่า ต้นทุนการนำเข้าปัจจัยการผลิตสำคัญ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และเครื่องจักรกล ต้นทุนจะสูงขึ้น เรียกว่าส่งผลให้เกษตรกรต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านรายได้และต้นทุนการผลิต
ขณะที่การลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ประกอบด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ ไอซ์แลนด์ และนอร์เวย์ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เปิดโอกาสให้กับสินค้าเกษตรไทย ให้เข้าถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง
แต่การลดภาษีนำเข้าภายใต้ข้อตกลงนี้ ก็เปิดโอกาสให้สินค้าเกษตรอาหารแปรรูปมูลค่าสูงจากต่างประเทศ เข้ามาแข่งขันในตลาดไทยมากขึ้น
การบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมีประสิทธิภาพและการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อตอบสนองต่อข้อตกลงการค้า จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันของภาคเกษตรไทย
ปฏิรูปภาคเกษตรเพื่ออนาคต
นอกจากนี้ การลงทุนด้านเทคโนโลยี อาทิ เกษตรกรรมแม่นยำและระบบชลประทานอัจฉริยะ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการส่งเสริมแนวทางการเกษตรที่ยั่งยืนและกระจายตลาดส่งออกจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคเกษตร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ภาคเกษตรของไทยไม่ใช่แค่มีบทบาทสนับสนุน GDP เท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ และเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตประชากรหลายล้านคน ทั้งยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการดำรงชีพในชนบท สร้างรายได้จากการส่งออก และทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดวิกฤต
หากสามารถจัดการกับจุดอ่อนและใช้ประโยชน์จากโอกาสต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ภาคเกษตรกรรมของไทยจะยังคงเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป พร้อมเป็นผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรในอนาคต