
บทบรรณาธิการ
การเดินหน้าขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศของรัฐบาลแพทองธารได้ถูก “คัดค้าน” จากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ที่ประกอบไปด้วยผู้แทนจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)-สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เสมือนหนึ่งเป็นเสียงค้านจากฝ่ายนายจ้าง โดยประเด็นที่ กกร.คัดค้านก็คือ ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ การปรับขึ้นค่าจ้างไม่ควรปรับขึ้นเกินกว่าปีละ 1 ครั้ง และปรับเมื่อมีเหตุจำเป็น ประกอบกับต้องมีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าจะต้องปรับ
โดยการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละครั้งจะต้องศึกษาความพร้อมของแต่ละประเภทกิจการ แต่ละอุตสาหกรรม เนื่องจากผู้ประกอบการในฐานะ “นายจ้าง” มีความพร้อมแตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค แต่ถึงกระนั้น แม้ กกร.จะไม่เห็นด้วยในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศก็ตาม แต่ กกร.สนับสนุนการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน หรือ Pay by Skills ซึ่งเป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานอยู่แล้ว ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และยังสนับสนุนให้มีการประกาศอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานให้ครบ 280 สาขา จากปัจจุบันที่ประกาศไปเพียง 129 สาขาเท่านั้น
ที่สำคัญก็คือ การปรับขึ้นค่าจ้างในคราวนี้ รัฐบาลได้ประกาศชัดเจนมาตั้งแต่ตอนหาเสียงแล้วว่าเป็น “นโยบาย” แต่ข้อเท็จจริงของการปรับขึ้นค่าจ้างนั้นกลับอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง หรือบอร์ดไตรภาคี จะเป็นผู้ชี้ขาดตามหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาที่วางเอาไว้ โดยเริ่มต้นจากการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมามากกว่าร้อยละ 90 “ไม่เห็นด้วย” กับการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทแบบเท่ากันทั่วประเทศ และอีกร้อยละ 30 มีมติไม่ขอปรับขึ้นค่าจ้างเลย
แต่ถ้าจะมีการพิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศเกิดขึ้นจริงแล้ว สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชี้ชัดเลยว่า จะมีอุตสาหกรรมในกลุ่มภาคการผลิต 5 ประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการในกลุ่ม SMEs ได้รับผลกระทบทันทีจากต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ยางและผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ ที่ต้องอาศัยแรงงานเป็นหลัก จากที่ผ่านมามีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้ย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศบ้างแล้ว
นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำยังเป็นเครื่องกดดันให้ผู้ประกอบการหันมาใช้แรงงานต่างด้าวนอกระบบที่พร้อมจะทะลักเข้ามาในประเทศจากค่าจ้างที่สูงขึ้นด้วย เหล่านี้จึงเป็นข้อห่วงกังวลของนายจ้างที่รัฐบาลจักต้องรับฟังและไม่เข้าไปแทรกแซงการพิจารณาของ คณะกรรมการค่าจ้าง เพื่อให้ผลการพิจารณาเป็นไปตามนโยบายรัฐแต่เพียงทางเดียว