ยอม “บ้า” ดีกว่ามั้ย ? วัคซีนพิษสุนัขบ้า 6 พันบาท

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ โดย กฤษณา ไพฑูรย์

 

เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ตกตะลึงชั่วขณะ ! หลังก้าวเข้าไปใช้บริการ “โรงพยาบาลเอกชน” แห่งหนึ่ง “ย่านโชคชัย 4”  หลังถูก “แมว” ของตัวเองที่เลี้ยงไว้ “ข่วน” แผลนิดเดียว ! และถือเป็นการถูกข่วนครั้งที่ 2 ในรอบ 5 เดือนของปีนี้

ด้วยความหวาดวิตกเรื่องการแพร่ระบาดของโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งล่าสุดกรมปศุสัตว์ยังประกาศ 34 จังหวัด เป็นเขตโรคระบาดสัตว์ชั่วคราว (ระยะเวลา 30 วัน)

แม้แมวที่เลี้ยงไว้ได้รับการทำ “วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า” มาต่อเนื่องตลอดหลายปี แต่อย่างที่กรมควบคุมโรคบอกไว้

ไม่ควร “ประมาท” ทุกครั้งที่ถูกแมวกัด หรือข่วน ให้รีบทำความสะอาดล้างแผล และพาตัวเองไปหาหมอ

การไปโรงพยาบาลครั้งนี้ได้นำเล่มประวัติการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าไปให้แพทย์วินิจฉัยว่า มี “ความจำเป็น” ต้องฉีดวัคซีนป้องกันอีกหรือไม่ ?

เพราะได้ฉีดวัคซีนครบ 5 เข็มเมื่อปี 2557 และเมื่อเดือน มี.ค. 61 ได้ถูกแมวของตัวเองกัด และได้ฉีดวัคซีนไปอีก 2 เข็ม โดยฉีดเข็มสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 61 พร้อมยาฉีดป้องกันบาดทะยัก เท่ากับเพิ่งฉีดวัคซีนเข็มสุดท้ายไป 2 เดือนกับ 9 วัน

นายแพทย์ลงความเห็นว่า ภูมิคุ้มกันยังมี แต่เพื่อความไม่ประมาท ควรฉีดวัคซีนกระตุ้นไปอีก 1 เข็ม และบอกว่า ควรฉีดยาป้องกันบาดทะยักไปอีก 1 เข็มแล้วกัน โดยหมอหยอดท้ายว่า มีประกันไม่ใช่หรือ ก็ฉีดให้ครบไปแล้วกัน !

คนเป็น “ทาสแมว” การพาตัวเองไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ทำจน “คุ้นชิน”

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิด และไม่อาจคุ้นชินเมื่อเห็น “ใบเสร็จรับเงิน” ทำเอาลมจับ “ช็อก” ไปชั่วขณะ เพราะจำนวนเงินที่ระบุในการรักษาครั้งนี้

6,046 บาท !

โดยมีรายละเอียดแบ่งเป็น ค่ายาผู้ป่วยนอก 3,660 บาท ค่ายาฉีด (บาดทะยัก) 501 บาท ค่าวัคซีน(พิษสุนัขบ้า) 952 บาท เวชภัณฑ์ 83 บาท ค่าบริการการพยาบาล ผู้ป่วยนอก 120 บาท ค่าบริการโรงพยาบาล กรณีผู้ป่วยนอก 80 บาท ค่าตรวจรักษากรณีผู้ป่วยนอก 650 บาท

แถมช่องถัดมาบอกให้ “ส่วนลด”ค่ายาผู้ป่วยนอก 366 บาท ให้ “ส่วนลด” ค่ายาฉีด (บาดทะยัก) 50 บาท เท่ากับจำนวนเงินสุทธิที่ต้องจ่าย 5,630 บาท

เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินว่า “คิดผิด” หรือเปล่า ? พี่แค่มาฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้านะ ! และไม่ได้ทำแผลอะไร เพราะแผลนิดเดียว !

เจ้าหน้าที่การเงินคนสวยตอบย้อนกลับว่า คิดถูกต้อง พี่มี “ประกันชีวิต” เคลมได้ไม่ต้องจ่ายเงินเองไม่ใช่หรือ ?

หลังเห็นตัวเลขค่ายาผู้ป่วยนอกแล้ว กำลังคิดจะไปบอกเภสัชกรว่า ไม่รับยากินได้หรือไม่ ไม่ได้คิดจะช่วยรักษา

ผลประโยชน์ของบริษัทประกัน แต่รู้สึก “รับไม่ได้” ถึงความแพงของยา !

เพราะก่อนหน้านี้เคยไปฉีดวัคซีนโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง มีราคาถูกกว่า และยากินราคาไม่แพงมากขนาดนี้

ก็เผอิญมีผู้ป่วยคนอื่นมารับการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า และถามเจ้าหน้าที่เหมือนใจคิดเช่นกัน ซึ่งเภสัชกรชี้แจงว่า ต้องกินยาฆ่าเชื้อให้หมดตามที่หมอสั่ง เพราะวัคซีนช่วยคนละส่วนกัน

เมื่อถึงคิวเภสัชกรถามว่า แพ้ยาอะไร ซึ่งได้แจ้งตอนกรอกประวัติทำบัตรแล้วว่า แพ้ “เพนิซิลลิน” ปรากฏว่า เภสัชบอกไม่ได้แจ้งคุณหมอหรือ เราก็งง…เภสัชให้รอสักครู่ขอเปลี่ยนยาใหม่ ซึ่งต้องกลับไปแก้ใบเสร็จรับเงินอีกรอบ

ใบเสร็จรับเงินที่มาใหม่ วงเงินรวมลดเหลือ 3,616 บาท โดยมีรายละเอียดทุกรายการเหมือนเดิม ยกเว้น ค่ายาผู้ป่วยนอก ปรับลดจาก 3,660 บาท เหลือ 1,230 บาท มีส่วนลดให้ 123 บาท รวมเป็นจำนวนเงินสุทธิต้องจ่าย 3,443 บาท ซึ่งยังราคาสูงมาก !

หากเปรียบเทียบราคาค่าวัคซีนพิษสุนัขบ้าในโรงพยาบาลของรัฐ กับค่าวัคซีนโรงพยาบาลเอกชน เรียกว่า แพงกว่ากันกี่เท่าตัวดี

เพราะครั้งแรกที่ถูกแมวกัดในรอบปีนี้ มีเหตุต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ทำให้ต้องไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ที่ “โรงพยาบาลนครพนม” สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ค่าวัคซีนเพียง 102 บาท

หากราคาวัคซีน และยาฆ่าเชื้อจะแพงกันขนาดนี้ ประชาชนที่มีรายได้น้อย และไม่มีประกันชีวิต คงเป็น “บ้า” กันทั้งประเทศไทยแน่ !

จึงได้แต่หวังว่า กระทรวงสาธารณสุขควรจะมีระบบควบคุมราคาค่าวัคซีน ค่ายาของโรงพยาบาลเอกชนหรือไม่ หรือจะปล่อยให้ “ลอยตัว” ระบุราคากันตามอำเภอใจเช่นนี้ต่อไป