‘อาเซียน’ อยู่ตรงไหนในนโยบายของ ‘ทรัมป์’

Trump-China-Trade
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ
ผู้เขียน : รุ่งนภา พิมมะศรี

ทั่วโลกมองตรงกันว่า การหวนกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะทำให้โลกปั่นป่วนกว่าเดิม แต่ผลกระทบที่จะเกิดกับประเทศ/ภูมิภาคต่าง ๆ ไม่น่าจะเท่าเทียมกัน เพราะทรัมป์ย่อมประเมินว่าจะใช้นโยบายกับประเทศ/ภูมิภาค/กลุ่มไหนอย่างไร

ในฐานะที่ไทยเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ก็เหมาะสมที่เราจะตั้งคำถามว่า อาเซียนอยู่ตรงไหนในสมการนโยบายของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านการต่างประเทศ ด้านการค้า หรือด้านกลาโหม

ย้อนกลับไปดูในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรกของทรัมป์ เขาไม่สนใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับอาเซียนเลย เห็นได้จากการที่เขาถอนสหรัฐออกจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP ซึ่งพัฒนาเป็น CPTPP หลังสหรัฐถอนตัว) ทำให้อาเซียนที่รอจะพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับสหรัฐผ่าน TPP ต้องผิดหวัง อีกทั้งทรัมป์ไม่เคยเข้าร่วมการประชุมผู้นำเอเชียตะวันออก (East Asia Summit) และไม่เคยแต่งตั้งทูตสหรัฐประจำอาเซียนด้วย

ในทางตรงข้าม ทรัมป์ยึดมั่นปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐตามแนวคิด “America First” (อเมริกาต้องมาก่อน) โดยมุ่งมั่นที่จะแก้ไข “ความไม่สมดุลทางการค้า” ระหว่างสหรัฐกับอาเซียน แม้ว่าเศรษฐกิจอาเซียนมีขนาดเล็กกว่าสหรัฐมากก็ตาม

แต่ถึงอย่างนั้น อาเซียนก็เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนในสมัยแรกของทรัมป์ เพราะมีบริษัทจำนวนมากย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมายังอาเซียน เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน

คาดว่าในการกลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีของทรัมป์ครั้งนี้ อาเซียนก็น่าจะยังคงไม่ได้เป็นจุดโฟกัสในภาพรวมการดำเนินนโยบายของทรัมป์เท่าไรนัก แต่ก็จะอยู่ในสถานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางอ้อมเช่นเดิม

ADVERTISMENT

สิ่งที่เพิ่มเติมคือ บางประเทศในอาเซียนที่เกินดุลการค้าสหรัฐมากจะกลายเป็นจุดโฟกัสในการดำเนินมาตรการทางการค้าโดยตรง โดยสินค้าที่ส่งไปสหรัฐจะถูกเก็บภาษีนำเข้าอัตรา 10% ถึง 20% ตามที่ทรัมป์ประกาศไว้ ประเทศไทยเองซึ่งเป็นประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐมากเป็นอันดับที่ 12 ก็น่าจะไม่รอดมาตรการนี้

สตีเฟน โอลสัน (Stephen Olson) นักวิจัยอาวุโสรับเชิญของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ในสิงคโปร์วิเคราะห์ว่า สิ่งที่จะเป็นผลกระทบที่หนักหนาขึ้นสำหรับอาเซียน คือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (ซึ่งหลายประเทศในอาเซียนเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่) จะซับซ้อนและยากลำบากขึ้น เป็นผลจากการแข่งขันระหว่างสหรัฐและจีน บวกกับการแพร่หลายของเทคโนโลยีแบบใช้ได้สองทาง ทั้งภาคการทหารและภาคพลเรือน (Dual-Use Technology) ทำให้จำเป็นต้องมีข้อกำหนดการออกใบอนุญาตและการรับรองเพิ่มเติม และอาจรวมถึงข้อจำกัดหรืออุปสรรคโดยตรงด้วย

ADVERTISMENT

นอกจากนั้น มีแนวโน้มสูงมากที่ทรัมป์จะถอนสหรัฐออกจากกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) ซึ่งจะส่งผลให้สมาชิกที่เหลือ (มีสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ รวมทั้งไทย) ต้องหาข้อสรุปว่าควรดำเนินการอย่างไร หรือเป็นสมาชิกต่อไปหรือไม่

อย่างไรก็ตาม คงต้องสรุปว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส (แม้ว่าในโอกาสก็ย่อมมีวิกฤตเช่นกัน) ซึ่งโอลสันมองว่า การที่สหรัฐถอนตัวออกจากบทบาทระดับภูมิภาคและระดับโลกแบบที่เคยทำในสมัยแรก จะทำให้เกิดช่องว่างและโอกาสมากมายสำหรับประเทศในอาเซียนที่จะมีบทบาทชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในการรวมกลุ่มการค้าและการเจรจาการค้าในระดับพหุภาคีและระดับภูมิภาค