นโยบายพลังงานของเยอรมนี บทเรียนสำคัญอนาคตพลังงานไทย (2)

คอลัมน์ : ระดมสมอง
ผู้เขียน : รศ.ดร.ภิญโญ มีชำนะ

คาดหวังสูงแต่ปัญหาและอุปสรรคมากมายจนดันราคาพลังงานพุ่งสูง

รัฐบาลเยอรมันเริ่มต้นนโยบาย Energiewende ด้วยระบบรับซื้อไฟฟ้าโดยการลดหย่อนภาษี และเงินอุดหนุน (Subsidy) หลากหลายรูปแบบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เช่น สนับสนุนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ มีการริเริ่มระบบที่รวมค่าประกันเข้าในค่าไฟรายเดือนที่ผู้บริโภคจ่าย ซึ่งเงินเพิ่มเติมส่วนนี้จะนำไปอุดหนุนการลงทุนจำนวนมหาศาลที่ภาคพลังงานหมุนเวียนต้องการ

อันเป็นการลงทุนที่ผู้บุกเบิกตลาดนี้เห็นว่าธุรกิจดังกล่าวคุ้มค่าแก่การลงทุนมากขึ้น และได้รับเสียงชื่นชมจนมีการนำรูปแบบนี้ไปใช้ในหลายประเทศทั่วโลก

แต่ปรากฏว่าการตัดสินใจเช่นนี้ ส่งผลเสียต่อราคาพลังงาน กล่าวคือปกติราคาพลังงานที่ผู้บริโภคประเทศเยอรมนีต้องจ่ายนั้นสูงอยู่แล้ว ทำให้ราคาขณะนั้นกลับพุ่งสูงกว่าเดิมอีก

เพราะผู้ที่ไม่ได้ลงทุนติดตั้งพลังงานหมุนเวียน ต้องร่วมจ่ายเงินอุดหนุนด้วย จนทำให้ราคาไฟฟ้าเฉลี่ยสูงขึ้น ส่งผลให้เยอรมนีกลายเป็นประเทศที่มีค่าไฟฟ้าแพงที่สุดในประเทศกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)

อย่างไรก็ตาม การมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลและนิวเคลียร์ไปสู่พลังงานหมุนเวียนตามนโยบาย Energiewende เยอรมนีได้ลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์และถ่านหินลง จนทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเพื่อมาชดเชย

ADVERTISMENT

ทำให้ต้องนำเข้าก๊า:ธรรมชาติจากรัสเซียเพิ่มขึ้น จากปกติที่ต้องนำเข้ามามากอยู่แล้ว และการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมากจนเกินไป ทำให้เยอรมนีเผชิญกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน จนกระทั่งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปี 2022 การส่งก๊าซจากรัสเซียถูกจำกัด

ส่งผลให้ราคาพลังงานในเยอรมนีเพิ่มสูงขึ้นซ้ำเติมเข้าไปอีก จากปกติที่ต้องจ่ายค่าพลังงานที่ราคาแพงอยู่เดิม จากการอุดหนุนพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาแพงอยู่แล้ว

ADVERTISMENT

ความสามารถแข่งขันของเยอรมนีในตลาดโลกลดลง

นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมก็ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของเยอรมนีลดลง และทำให้ขณะนี้เยอรมนีกลายเป็นประเทศที่มีค่าไฟฟ้าแพงที่สุดในประเทศกลุ่มประเทศอียู [19]

ผลเสียจากนโยบาย Energiewende ที่เกิดโดยไม่ได้คาดการณ์มาก่อนก็คือ ในตอนต้นมีการคิดค้นนวัตกรรมและสร้างงานใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมของภาคพลังงานหมุนเวียนของเยอรมนีอย่างมากมาย ช่วงแรกที่ความนิยมสูงสุดธุรกิจแผงโซลาร์เซลล์มีการจ้างบุคลากรที่มีทักษะสูงถึง 133,000 คน แต่ทว่าธุรกิจไม่ยั่งยืน ไม่กี่ปีต่อมาผู้นำตลาดโลกสัญชาติเยอรมันบางรายต้องยื่นขอล้มละลาย

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ปัญหาเช่นนี้มาจาก 2 สาเหตุ ประการหนึ่ง มีคู่แข่งรายใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะจากทวีปเอเชียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งบีบให้ผู้บุกเบิกชาวเยอรมันต้องถอนตัวจากการแข่งขัน เนื่องจากคู่แข่งขันปรับตัวได้อย่างรวดเร็วจนเยอรมันไล่ไม่ทัน เพราะคู่แข่งสามารถเสนอขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่า

อีกมุมหนึ่งก็คือ ระบบสนับสนุนที่รับประกันโดยภาครัฐทำให้บริษัทเยอรมันไม่กระตือรือร้นจะคิดค้นนวัตกรรม หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วยเหตุนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ของเยอรมนีจึงไม่สามารถแข่งขันทั้งด้านราคาและผลิตภัณฑ์กับคู่แข่งอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ภาคส่วนนี้ไม่ได้สูญหายไปโดยสิ้นเชิง แต่ฟื้นตัวขึ้นมาหลังต้องปรับตัวอย่างยากลำบาก มีการสูญเสียงานไปเป็นจำนวนมาก

ผลเสียของการเปลี่ยนผ่านพลังงานอีกประการหนึ่งที่เยอรมนีประสบก็คือ ความพยายามของรัฐบาลที่จะลด Carbon Footprint ในภาคที่อยู่อาศัย ซึ่งกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากรัฐบาลเยอรมันได้วางกรอบกฎหมายที่มีจุดประสงค์เพื่อรับมือปัญหาการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองของภาคที่อยู่อาศัย มีทั้งแผนกระตุ้นและกฎหมายกำกับนักพัฒนาอสังหาฯ

ด้วยเหตุนี้เจ้าของบ้านและนักพัฒนาที่ดินจึงต้องลงทุนอย่างมาก เช่น ติดตั้งฉนวนกันความร้อนตามผนังบ้าน เพื่อเก็บกักความร้อนท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเรื่องนี้สร้างภาระค่าใช้จ่ายที่หนักอึ้งแก่เจ้าของบ้าน ไม่ว่าจะหลังใหญ่หรือหลังเล็ก และส่งผลให้มีการถ่ายโอนค่าใช้จ่ายบางส่วนไปเรียกเก็บเป็นค่าเช่ารายเดือนจากผู้เช่า

แต่แม้จะมีข้อกฎหมายจำกัด ว่าสามารถเรียกเก็บเพิ่มในค่าเช่ารายเดือนได้เป็นจำนวนเงินเท่าไร การปรับปรุงและค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้างก็มีส่วนช่วยทำให้ค่าเช่าที่เมืองเยอรมนีหลายเมืองเพิ่มสูง ถึงขนาดที่ผู้อาศัยจำนวนมากหวั่นเกรงว่าต้องเสียบ้าน เพราะไม่อาจจ่ายค่าเช่าที่เพิ่มสูงขึ้นกะทันหันไหว

ราคาพลังงานพุ่งจนคนเยอรมันเกิด “ความยากจนด้านพลังงาน”

นโยบาย “Energiewende” ของเยอรมนีมุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลและนิวเคลียร์ไปสู่พลังงานหมุนเวียน แม้ว่าจะมีเป้าหมายเพื่อความยั่งยืนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่การดำเนินนโยบายนี้ไม่บรรลุผลตามที่คาดหวังไว้ ส่งผลให้เกิดปัญหา “ความยากจนด้านพลังงาน” (Energy Poverty) ในกลุ่มประชากรที่มีรายได้น้อย ด้วยสาเหตุจาก

ต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น : การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ราคาพลังงานสำหรับผู้บริโภคสูงขึ้น ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยต้องใช้สัดส่วนรายได้ที่มากขึ้นในการชำระค่าพลังงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะ “ความยากจนด้านพลังงาน” หรือการที่ครัวเรือนไม่สามารถเข้าถึงพลังงานที่เพียงพอสำหรับความต้องการพื้นฐาน เช่น การทำความร้อนหรือความเย็นภายในบ้าน

ความไม่เท่าเทียมในการรับภาระค่าใช้จ่าย: แม้ว่าการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม แต่ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกลับตกหนักบนครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงพลังงานที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพชีวิต แต่ยังสร้างความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจ

ความเดือดร้อนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแค่ในเยอรมันเท่านั้น เพราะปัจจุบันประชากรในสหภาพยุโรป (EU) ประมาณ 35-72 ล้านคน หรือ 8-16% ของประชากรต่างก็กำลังประสบปัญหาความยากจนด้านพลังงาน

โดยรัฐบาลเยอรมนีได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหานี้ เช่น การสนับสนุนทางการเงินสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย การส่งเสริมประสิทธิภาพพลังงานในที่อยู่อาศัย และการปรับโครงสร้างราคาพลังงานเพื่อให้เป็นธรรมมากขึ้น

แม้ว่านโยบาย “Energiewende” จะมีเป้าหมายที่ดี อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและการปกป้องกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม