นโยบายพลังงานของเยอรมนี บทเรียนสำคัญอนาคตพลังงานไทย (1)

energy
คอลัมน์ : ระดมสมอง 
ผู้เขียน : รศ.ดร.ภิญโญ มีชำนะ

ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เยอรมนีเคยถูกเรียกว่า “คนป่วยแห่งยุโรป” (The Sick Man of Europe) เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่หลากหลาย เช่น อัตราการว่างงานสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความท้าทายจากการรวมประเทศระหว่างเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก แต่ในปี 2023 คำนี้กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่ออธิบายสถานการณ์เศรษฐกิจของเยอรมนี โดยมีสาเหตุหลักดังนี้

1.ปัญหาพลังงาน : ความไม่แน่นอนด้านพลังงานและราคาพลังงานที่สูงขึ้น สาเหตุจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและความสามารถในการแข่งขันของเยอรมนี

2.การพึ่งพาการส่งออกและเศรษฐกิจโลก : เยอรมนีเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกอย่างมาก การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนี

3.การขาดแคลนแรงงานทักษะ : การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะสูง รวมถึงปัญหาประชากรสูงอายุ ส่งผลให้ตลาดแรงงานตึงตัวและจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ

4.โครงสร้างพื้นฐานล้าสมัย : โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรางและถนน ที่ต้องการการปรับปรุง ส่งผลต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและการขนส่ง

5.ระบบราชการและภาษีที่ซับซ้อน : กฎระเบียบและระบบภาษีที่ซับซ้อน เพิ่มภาระให้กับธุรกิจและลดความน่าสนใจในการลงทุน

ADVERTISMENT

ปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้เยอรมนีเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและได้รับการเรียกว่า “คนป่วยแห่งยุโรป” อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เยอรมนียังคงมีความมั่นคงทางการเงินและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

แกะรอยปัญหาพลังงานของเยอรมนี

ปัญหาพลังงานของเยอรมนีเผชิญ มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านพลังงาน และราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่

ADVERTISMENT

1.การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน : เยอรมนีมีนโยบาย “Energiewende” ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนมานานหลายทศวรรษ แม้ว่าจะเป็นนโยบายที่ดี แต่การดำเนินการต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง ในระหว่างนี้ได้มีการลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์และถ่านหิน ทำให้เกิดช่องว่างด้านพลังงาน เป็นเหตุให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติที่มีราคาแพงกว่าเข้ามาชดเชยกับพลังงานจากนิวเคลียร์และถ่านหินที่หายไป

2.ราคาพลังงานตลาดโลกที่ผันผวน : ปัจจัยภายนอก เช่น ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นหลังการฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานตลาดโลกผันผวนและเพิ่มสูงขึ้น เยอรมนีซึ่งพึ่งพาการนำเข้าพลังงานอย่างมากจึงได้รับผลกระทบโดยตรง

ปัญหาเหล่านี้นอกจากสร้างผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าในภาคประชาชนแล้ว ยังทำให้ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเพิ่มขึ้น ส่งผลความสามารถการแข่งขันในตลาดโลกลดลง อุตสาหกรรมเคมีของเยอรมนีเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน

รัฐบาลเยอรมนีได้พยายามดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหา เช่น การอุดหนุนราคาพลังงานสำหรับภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเหล่านี้ต้องใช้เวลาและงบประมาณสูง ทำให้ปัญหาพลังงานยังคงเป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจเยอรมนี

3.ข้อจำกัดด้านโครงข่ายไฟฟ้า : โครงข่ายไฟฟ้าของเยอรมนียังไม่สามารถรองรับพลังงานลมนอกชายฝั่งจากทางตอนเหนือไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมในตอนใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนสร้างสายส่งไฟฟ้าเพิ่มเติม 4,000 กิโลเมตรภายในปี 2030 เกิดความล่าช้า

4.ขั้นตอนกฎระเบียบที่ซับซ้อน : กระบวนการอนุมัติที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน ทำให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียน เช่น ขั้นตอนการอนุมัติพลังงานลมและแสงอาทิตย์ช้า ซึ่งขัดขวางการพัฒนาและทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ

5.ปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้นจากการเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ : การตัดสินใจเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ทำให้ต้องพึ่งพาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้การปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าการตัดสินใจเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ก่อนเวลาอันควรถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเยอรมนี

6.การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในช่วงที่พลังงานหมุนเวียนขาดแคลน : ช่วงเวลาที่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ผลิตได้น้อย ทำให้ต้องใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายด้านพลังงานหมุนเวียน

7.ความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์และห่วงโซ่อุปทาน : เดิมเยอรมนีนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในปริมาณมากอยู่แล้ว และเมื่อเกิดสงครามรัสเซียและยูเครน การนำเข้าก๊าซจากรัสเซียถูกจำกัด ทำให้เกิดการหยุดชะงักของอุปทานพลังงาน เยอรมนีจึงต้องพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากแหล่งอื่นที่มีราคาแพงกว่า

ปัญหาด้านพลังงานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เยอรมนีต้องเผชิญในการสร้างอนาคตพลังงานหมุนเวียน ในการที่จะสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ

นโยบายพลังงานเพื่อลดโลกร้อนเป็นจุดมุ่งหมายหลัก แต่จุดมุ่งหมายรองคือเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของเยอรมนี

คำว่า “Energiewende” ในภาษาเยอรมันหมายถึง “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” โดยประเทศเยอรมนีมีนโยบายมุ่งเน้นการเปลี่ยนจากการใช้พลังงานนิวเคลียร์และฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน

นโยบาย Energiewende ของเยอรมนีเป้าหมายหลักคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ยังมุ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานนิวเคลียร์

การพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่เพียงตอบสนองความต้องการพลังงานภายในประเทศ แต่เยอรมนียังต้องการเป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนระดับโลก โดยรัฐบาลเยอรมนีเล็งผลเลิศว่านโยบายนี้จะมีการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมหาศาลในประเทศ จะสามารถสร้างงานหลายแสนตำแหน่ง และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้ยังเปิดโอกาสให้เยอรมนีส่งออกความรู้และเทคโนโลยีไปยังประเทศอื่น ๆ ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดังนั้น นโยบาย Energiewende ไม่เพียงมุ่งแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ยังเป็นกลยุทธ์ในการส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจของเยอรมนี ผ่านการเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน