
คอลัมน์ : ระดมสมอง ผู้เขียน : รศ.ดร.ภิญโญ มีชำนะ
ราคาพลังงานพุ่งจนอุตสาหกรรมในเยอรมนีต้องหนีตายออกนอกประเทศ
ชาวเยอรมันเริ่มเกิดความกังวลด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เพราะต้นทุนพลังงานที่สูงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเยอรมนี อุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การเติบโตและการลงทุนลดลง
ราคาพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมหลักของเยอรมนี อาทิ
“อุตสาหกรรมเคมี” หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ช่วงสองปีที่ผ่านมาบริษัทเคมีภัณฑ์หลายแห่งปรับลดการลงทุนในประเทศ และขยายการลงทุนในต่างประเทศที่มีต้นทุนพลังงานต่ำกว่า
“อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์” การสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนยังสร้างความผันผวนในอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ของเยอรมนี เนื่องจากมีคู่แข่งรายใหม่ที่มีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า จนต้องทำให้ธุรกิจนี้ของเยอรมนีหลายรายต้องปิดตัวลง
“อุตสาหกรรมยานยนต์” อีกหนึ่งเสาหลักของเศรษฐกิจเยอรมนี ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นเช่นกัน ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ยังเพิ่มความท้าทาย เนื่องจากต้องลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นที่ใช้พลังงานสูง เช่น การผลิตเหล็กและกระดาษ บริษัทเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน และบางรายได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนพลังงานต่ำกว่า
เยอรมนีย้ายฐานผลิตอุตสาหกรรมหนีตายแล้วฟอกเขียว ?
ผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมบางประเภทย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนพลังงานต่ำกว่า เช่น สหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในราคาถูก แต่การย้ายฐานการผลิตนี้อาจถูกมองว่าเป็นการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) สำหรับเยอรมนี เพราะแม้จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ แต่การผลิตที่ก่อให้เกิดมลพิษยังคงดำเนินอยู่ในต่างประเทศ ส่งผลให้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับโลกไม่เกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าเป็นการฟอกเขียวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาและการดำเนินการของภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลเยอรมนี หากการย้ายฐานผลิตเกิดจากความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานก็อาจไม่ถือว่าเป็นการฟอกเขียว แต่หากเป็นการย้ายเพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ ก็อาจถูกมองว่าเป็นการฟอกเขียวได้
ไทยควรเรียนรู้อะไรจากบทเรียนนโยบายพลังงาน Energiewende ของเยอรมนี
จากที่ได้อธิบายถึงความซับซ้อนที่เยอรมนีต้องเผชิญในการสร้างอนาคตพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย เพราะมีตัวแปรมากมายที่นอกเหนือการควบคุม นโยบายพลังงาน Energiewende ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดูเผิน ๆ เหมือนว่านโยบายนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะเยอรมนีสามารถเพิ่มพลังงานหมุนเวียนจาก 6% ในปี 2000 เพิ่มเป็น 46% ในปี 2022
แต่ท้ายที่สุดกลับสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จนทำให้ประชาชนระดับล่าง แม้ระบบประกันสังคมเยอรมันสามารถเป็นกันชนรองรับผลกระทบนี้แทนกลุ่มผู้เปราะบางและมีสิทธิได้รับสวัสดิการสังคมก็ตาม แต่ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเยอรมนี จนทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง กระทั่งเยอรมนีได้รับฉายาอีกครั้งว่าเป็น “คนป่วยแห่งยุโรป”
นโยบาย Energiewende ของเยอรมนีที่มุ่งเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานฟอสซิลและนิวเคลียร์ไปสู่พลังงานหมุนเวียนนั้น แม้มีเจตนาดีเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนและสร้างเศรษฐกิจสีเขียว แต่กลับต้องเผชิญกับปัญหาสำคัญหลายประการ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนอย่างกว้างขวาง สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ ดังนี้
1.ราคาพลังงานที่พุ่งสูง การลงทุนมหาศาลในพลังงานหมุนเวียนและการลดการใช้พลังงานนิวเคลียร์ทำให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าไฟแพงที่สุดในโลก ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เกิดภาวะ “ความยากจนด้านพลังงานิ (Energy Poverty) และสร้างความไม่เท่าเทียมในสังคม
2.ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ราคาพลังงานที่สูงทำให้ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรม หลายบริษัทเลือกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ต้นทุนพลังงานต่ำกว่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของเยอรมนีลดลง
3.ความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายไฟฟ้าที่ล้าหลังและขาดแคลนการกักเก็บพลังงานสำรอง ทำให้การพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนไม่เสถียร โดยเฉพาะช่วงที่ลมและแสงแดดขาดแคลน ส่งผลให้ต้องกลับไปใช้ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเพื่อเติมเต็มพลังงานที่ขาดไป
4.การตัดสินใจเลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์-ถ่านหินอย่างเร่งด่วน ทำให้ต้องพึ่งพาก๊าซนำเข้าที่มีราคาแพงโดยเฉพาะจากรัสเซีย ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงทางพลังงาน และทำให้เยอรมนีประสบปัญหาหนักในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน
5.ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม ราคาพลังงานที่สูงและความล่าช้าในการปรับตัว สร้างแรงกดดันต่อทั้งประชาชนและภาคอุตสาหกรรม
บทเรียนสำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้ โดย
1.กระจายเชื้อเพลิงพลังงาน ใช้พลังงานหลากหลาย เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน พลังงานหมุนเวียน และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านพลังงาน (ไม่ควรเพิ่มสัดส่วนพลังงานก๊าชธรรมชาติจากปัจจุบันที่มีประมาณ 60% เพราะมีความเสี่ยงจากภัยสงครามจนทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น)
2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน ลงทุนในโครงข่ายไฟฟ้าและเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน เพื่อรองรับการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น โครงการ Grid Modernization ของ กฟผ.)
3.การดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในสัดส่วนที่สูงจนเกินไป ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและรอให้พลังงานหมุนเวียนมีความเสถียรและต้นทุนที่เหมาะสมก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปและความไม่พร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน
4.การวางแผนที่รอบคอบ ศึกษาความพร้อมด้านเศรษฐกิจและสังคมก่อนดำเนินนโยบาย พร้อมจัดเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง
5.การสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมพลังงาน ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ (เช่น SMR) เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในตลาดพลังงานระดับโลก
นโยบายพลังงานที่ดีต้องสร้างสมดุลระหว่างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางพลังงาน และความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยควรเรียนรู้จากความผิดพลาดของเยอรมนี โดยดำเนินการเปลี่ยนผ่านพลังงานหมุนเวียนอย่างรอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาและผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ในระยะยาว