บทบรรณาธิการ : ตั้งทีมพิเศษเจรจาสหรัฐ

TRUMP
บทบรรณาธิการ

40 กว่าวันหลังการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งที่ 2 ของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ทำให้โลกทั้งโลกปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากนโยบายการค้า “America First Trade Policy” หรือ อเมริกาต้องมาก่อน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐทั้งทางด้านเศรษฐกิจ แรงงาน และความมั่นคง โดยมุ่งไปที่การสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่ อัตราเงินเฟ้อจะต้องลดลง อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมกลับเข้ามาตั้งในประเทศ และที่สำคัญก็คือ การลดการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐที่เพิ่มต่อเนื่อง

โดย “ทรัมป์” ได้ใช้เครื่องมือที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ การขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกแหล่งทุกประเทศทั่วโลกที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ โดยอ้างเหตุผลของการตอบโต้การค้ากับประเทศคู่ค้าที่ค้าไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล หรือ Addressing Unfair and Unbalanced Trade ในสัปดาห์แรก ๆ ของการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี “ทรัมป์” ก็ได้ใช้ “คำสั่งประธานาธิบดี” หรือ “Excutive Order” ประกาศขึ้นภาษีจากจีน 10+10 หรือ 20% ขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก-แคนาดาอีก 25% รวมทั้งการประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศทั่วโลกในอัตรา 25% โดยอ้างความมั่นคงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศ

ผลของการขึ้นกำแพงภาษีดังกล่าว ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “สงครามการค้า” ขึ้นมาทันที โดยจีนได้ประกาศขึ้นภาษีสินค้าประเภทอาหาร (ข้าวสาลี-ข้าวโพด-เนื้อวัว-ถั่วเหลือง) จากสหรัฐ ระหว่างอัตรา 10-15% และยังเรียกเก็บภาษีถ่านหิน-น้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติ-รถยนต์จากสหรัฐ ขณะที่แคนาดาก็ประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจาก 25% มูลค่ารวม 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนเม็กซิโกประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐในภายหลัง จนกลายเป็นการเริ่มต้นสงครามทางการค้าแบบไม่มีใครยอมใคร เมื่อประเทศคู่ค้าสหรัฐขึ้นภาษี “ทรัมป์” ก็ประกาศจะขึ้นภาษีในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นไปอีก ตามมาติด ๆ

แน่นอนว่า สงครามการค้า ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นเพียงการเริ่มต้นในยุคแห่งความปั่นป่วนที่ไม่มีใครคาดเดาทิศทางได้ แม้ทรัมป์จะมีท่าทีผ่อนปรนด้วยการให้เวลาประเทศคู่ค้า หรืออีกนัยหนึ่งบีบให้เข้ามาเจรจาให้ผลประโยชน์กับสหรัฐ แต่สุดท้ายทรัมป์ก็ขึ้นกำแพงภาษีอยู่ดี โดยภายในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้จะมีรายงานผลการสอบสวนสาเหตุที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเป็นรายประเทศ จัดทำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กระทรวงการคลัง และ USTR โดยรายงานฉบับนี้ประเทศไทยได้ตกเป็น “เป้าหมาย” อยู่ด้วย จากเหตุที่ว่า ประเทศไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ากับสหรัฐในปีที่ผ่านมาถึง 45,600 ล้านเหรียญ หรือติดอันดับที่ 11

ดังนั้น ไทยย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกสหรัฐประกาศขึ้นกำแพงภาษี จึงควรที่รัฐบาลจะต้องเตรียมการรับมือเสียแต่บัดนี้ ด้วยการนำข้อเสนอของภาคเอกชนมาพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้ง “ทีมพิเศษ” หรือ “Special Team” ซึ่งทีมดังกล่าวจะต้องมีอำนาจเด็ดขาดในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐ เพื่อให้ประเทศสูญเสียน้อยที่สุดในสงครามการค้าครั้งนี้