ทรัมป์กลับมา แต่ ‘ธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน’ ยังไปต่อ

Trump is back
President Donald Trump waves before departing on Marine One from the South Lawn of the White House, Friday, March 7, 2025, in Washington. (AP Photo/Alex Brandon)
คอลัมน์ : มองข้ามชอต
ผู้เขียน : ดร.เกียรติศักดิ์ คำสี 
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

แม้นโยบายเศรษฐกิจหลาย ๆ ด้านของทรัมป์จะยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่สิ่งหนึ่งที่มีความแน่นอนคือ ทรัมป์ต้องการลดบทบาทของสหรัฐในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวออกจากความตกลงปารีส การมุ่งส่งเสริมเชื้อเพลิงฟอสซิล และการยกเลิกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การยกเลิกเป้าหมายรถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่การยกเลิกการใช้หลอดกระดาษให้กลับมาใช้หลอดพลาสติก

อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐจะถอยหลังในเรื่องเหล่านี้ แต่แนวโน้มความยั่งยืนของโลกยังคงเดินหน้าต่อไป และธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทัน

SCB EIC เชื่อว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของธุรกิจไทยในอนาคต โดยมีสามเสาหลักที่ยังคงขับเคลื่อนเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนของโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

เสาที่ 1 : ผู้บริโภคที่ตื่นตัวกับประเด็นความยั่งยืน จากผลสำรวจของ Euromonitor ในปี 2024 พบว่า 26.5% ของผู้บริโภคทั่วโลกเป็น “Green Spenders” หรือผู้ที่ยินดีจ่ายเพื่อสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของวิกฤตโลกร้อนและทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมที่จะทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต

โดยข้อมูลจาก Bain & Company ในปี 2024 ชี้ให้เห็นว่า 40% ของผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้ายั่งยืนในหลายประเทศ เกิดจากการได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับผลสำรวจของ SCB EIC ในปีเดียวกันที่พบว่า 47% ของผู้บริโภคไทยที่ซื้อสินค้ายั่งยืนมีแรงจูงใจมาจากการรับรู้ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

ADVERTISMENT

เสาที่ 2 : หน่วยงานกำกับและรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ ยังคงให้ความสำคัญกับความยั่งยืน แม้ทรัมป์จะลดบทบาทของรัฐบาลกลางสหรัฐในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่รัฐและเมืองใหญ่ต่าง ๆ ในสหรัฐยังคงเดินหน้าดำเนินนโยบายของตนเอง เช่น ในเดือนธันวาคม 2024 รัฐนิวยอร์กประกาศใช้กฎหมายเรียกเก็บค่าปรับจากบริษัทผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโลกร้อน

ขณะที่สหภาพยุโรปยังเดินหน้าตั้งกำแพงภาษีคาร์บอน (CBAM) และยังคงยืนยันที่จะเป็นผู้นำการลดก๊าซเรือนกระจก และมุ่งสู่เป้าหมายหมาย Net Zero โดยผู้นำ EU ได้รับรองปฏิญญาบูดาเปสต์ในเดือนพฤศจิกายน 2024 เพื่อยืนยันเป้าหมายนี้

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ รัฐบาลทั่วโลกยังคงเข้มงวดกับประเด็นด้านสังคม เช่น EU ที่ยังใช้มาตรการห้ามนำเข้าปลาจากประเทศที่มีการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) และสหรัฐที่เพิ่งประกาศห้ามนำเข้าสินค้าจาก 37 บริษัทจีนที่ละเมิดสิทธิแรงงาน

สำหรับไทยเอง รัฐบาลและหน่วยงานกำกับกำลังดำเนินนโยบายด้านความยั่งยืนหลายด้าน เช่น การเตรียมออก พ.ร.บ.โลกร้อนในช่วงปี 2025-2026 และการออกกฎหมายยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2025 เป็นต้น

เสาที่ 3 : ภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องจัดการความเสี่ยงจากวิกฤตสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจาก PwC (PricewaterhouseCoopers) ในปี 2023 ชี้ให้เห็นว่า 55% ของ GDP โลกมาจากอุตสาหกรรมที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในระดับปานกลางถึงสูง เช่น เกษตรกรรม อาหาร และก่อสร้าง ซึ่งหากปัญหาโลกร้อนและการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติรุนแรงขึ้น ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

บริษัทหลายแห่งจึงมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น เนสท์เล่มีเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบจากพื้นที่เกษตรกรรมเชิงฟื้นฟูเป็น 50% ภายในปี 2030 ซึ่งธุรกิจในไทยเองก็ไม่ต่างกัน

โดยการประเมินของ PwC ในปี 2024 พบว่า 61% ของมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาจากธุรกิจที่พึ่งพาธรรมชาติในระดับปานกลางถึงสูง

ซึ่งหมายความว่าหากภาคธุรกิจไทยไม่เร่งจัดการความเสี่ยงจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ก็อาจเผชิญกับผลกระทบร้ายแรงในอนาคต

จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า แม้ทรัมป์จะกลับมา แต่แรงขับเคลื่อนเมกะเทรนด์ด้านความยั่งยืนของโลกยังมีอยู่มาก

โดยสิ่งที่น่ายินดีคือ บริษัทไทยหลายแห่งได้เริ่มปรับการดำเนินธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนอย่างจริงจัง สะท้อนได้จากในปี 2024 มีบริษัทไทย 26 บริษัทติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ซึ่งให้การรับรองความโดดเด่นด้านความยั่งยืนของบริษัทชั้นนำทั่วโลก

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลคือ บริษัทไทยจำนวนไม่น้อยยังไม่เริ่มปรับตัว โดยจากการสำรวจของ SCB EIC ในปี 2024 พบว่า 75% ของ SMEs ขนาดจิ๋ว และ 62% ของ SMEs ขนาดเล็กยังไม่มีแผนในการปรับตัวด้านความยั่งยืน จากข้อจำกัดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความยั่งยืน ความกังวลว่าต้นทุนจะสูงขึ้น และการขาดแคลนเงินทุน

จากประสบการณ์ของลูกค้า SCB ที่ปรับตัวได้สำเร็จ SCB EIC เสนอ 3 แนวทางเพื่อให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนได้สำเร็จ ดังนี้

1) “ตีโจทย์ให้แตก” ธุรกิจต้องรู้ให้ชัดว่าโจทย์ความยั่งยืนที่แท้จริงของบริษัทคืออะไร

2) “ร่วมแรงกันทำ” บริษัทต้องผนวกความยั่งยืนเข้าไปในกลยุทธ์หลักของธุรกิจ และการดำเนินงานของในทุกฝ่ายขององค์กร พร้อมทั้งร่วมมือกับซัพพลายเออร์ คู่ค้า ชุมชน และพันธมิตรอื่น ๆ ในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน

3) “นำเทคโนโลยีมาใช้” โดยเทคโนโลยีมีศักยภาพที่หลากหลายในการช่วยขับเคลื่อนความยั่งยืน เช่น การใช้ IOT และ Smart Systems เพื่อติดตามการใช้พลังงานและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นต้น

การกลับมาของทรัมป์อาจชะลอการดำเนินนโยบายด้านความยั่งยืนของสหรัฐ แต่แนวโน้มระดับโลกยังคงเดินหน้าต่อ ธุรกิจไทยที่ไม่ปรับตัวอาจพบว่าตัวเองถูกลูกค้าทิ้ง คู่แข่งแซง และเสียโอกาสทางการตลาด

ดังนั้น ธุรกิจที่ยังไม่ลงมือทำอะไรเกี่ยวกับความยั่งยืนควรเริ่มดำเนินการทันทีจากสิ่งใกล้ตัว เพราะการเริ่มต้นแม้จะมีความเสี่ยง แต่การไม่เริ่มเลยรับรองได้ว่า “พ่ายแพ้อย่างแน่นอน” ในโลกที่กำลังมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน

คุณพร้อมหรือยังที่จะก้าวเดินบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้ธุรกิจและ คนรุ่นหลัง ?