เขมรทิ้ง MOU 43 มุ่งหน้าไปศาลโลก

MOU43
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

เหตุการณ์กระทบกระทั่งที่ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณกลุ่มปราสาทตาเมือนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ถูกพัฒนาขึ้นบนความยั่วยุ จนกลายมาเป็นการเผชิญหน้าของกองทหารทั้ง 2 ฝ่าย ที่บริเวณช่องบก และนำมาซึ่งการปะทะกันด้วยอาวุธ ส่งผลให้ทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ในวันที่ 28 พฤษภาคม จนเหตุการณ์บานปลายเมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีการระดมพลซ้อมรบแสดงแสนยานุภาพ

การเผชิญหน้าของกองทหารไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่เป็นความตึงเครียดสะสมกันมาตั้งแต่ในอดีตจากความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดนที่กำลังอยู่ในระหว่างการสำรวจและจัดทำหลักเขตมาตั้งแต่ปี 2540 หลังจากทั้ง 2 ประเทศได้ออกแถลงการณ์ร่วม เพื่อจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก และมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ MOU 43 กันในเดือนมิถุนายนปี 2543 เพื่อป้องกันและลดความขัดแย้งแต่ก็มีการเผชิญหน้ากันทางทหารมาเป็นระยะ ๆ ตามมาด้วยการยื่นหนังสือประท้วงการรุกล้ำดินแดนที่อ้างสิทธิ

ทั้งนี้ เขตแดนไทยและกัมพูชามีความยาวประมาณ 798 กิโลเมตร แยกเป็นเขตแดนตามสันปันน้ำและแนวเส้นตรง 590 กิโลเมตร กับร่องน้ำลึกและลำน้ำอีก 208 กิโลเมตรเป็นผลจากการปักปันเขตแดนตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1904) กับสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1907) โดยมีการจัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนไว้ 2 ชุดคือ แผนที่ชุด Bernard 5 มี 11 ระวางตามอนุสัญญาปี 1904 กับแผนที่ชุด Montguers มี 5 ระวางตามสนธิสัญญาปี 1907 และมีการปักหลักเขตแดนไว้จำนวน 73 หลัก

จนมาเกิดเหตุการณ์ปะทะกันที่ช่องบกในที่สุด และถูกขยายผลออกไป เมื่อฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิที่จะครอบครองพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (บริเวณช่องบก) ประมาณ 12 ตารางกิโลเมตรเอาไว้ทั้งหมด ตามมาด้วยแถลงการณ์ล่าสุดจะนำพื้นที่มอมเบย (สามเหลี่ยมมรกต), กลุ่มปราสาทตาเมือน, ปราสาทกรอเบย เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)

อันเป็นการยกระดับความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนให้กลายมาเป็น “ข้อพิพาท” สมบูรณ์แบบ ที่จะต้องใช้ “คนกลาง” เข้ามาตัดสิน หรือเท่ากับปฏิเสธข้อเสนอของฝ่ายไทยที่ต้องการแก้ปัญหาภายใต้กลไกทวิภาคี อย่างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จากข้อเท็จจริงที่ว่า

ภายใต้ MOU 43 ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ “ลดความขัดแย้ง” ไม่สามารถกำหนดเขตแดนกันใหม่ได้ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องปฏิบัติบนพื้นฐานของเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่ได้จัดทำขึ้นตามอนุสัญญา 2 ฉบับข้างต้น และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเส้นเขตแดนแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ประสงค์ให้มีการได้หรือเสียดินแดน เป็นเพียงแต่จะสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในภูมิประเทศ เพื่อให้เห็นแนวเขตแดนอย่างชัดเจนเท่านั้น