มาตรการบีโอไอ ‘ดี’ แต่ผิดที่ ผิดเวลา

คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ
ผู้เขียน : กฤษณา ไพฑูรย์

เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2568 บอร์ดบีโอไออนุมัติมาตรการชุดใหญ่ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อความยั่งยืน รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ปี ในวงเงินไม่เกิน 50% ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้ 5 ปี ในวงเงิน 100%

รวมถึงความพยายามในการส่งเสริมผู้ประกอบการท่องเที่ยว หากไปลงทุนตั้งสถานประกอบการในเมืองรอง 55 จังหวัด เช่น สร้างแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ สวนสนุก ศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมไทย ศูนย์หัตถกรรมไทย พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์เปิด

ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติ หอประชุมขนาดใหญ่ ท่าเรือครุยส์ บริการที่จอดเรือท่องเที่ยว สนามแข่งขันยานยนต์ กระเช้าไฟฟ้าและรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยว ฯลฯ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 5 ปี เป็น 8 ปี

สำหรับกิจการโรงแรม หากตั้งในเมืองรอง 55 จังหวัด จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม จากเดิม 3 ปี เป็น 5 ปี

มาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องดี ที่บีโอไอหันมาช่วยธุรกิจ SMEs

แต่เมื่อสอบถามไปยังผู้ประกอบการ SMEs ในต่างจังหวัด หลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า มาตรการบีโอไอหวังจะดึงให้เกิด “การลงทุน” เพื่อ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ของภาครัฐ “ดี” ! แต่ยามนี้ เป็นการแก้ปัญหาแบบ “เกาไม่ถูกที่คัน” !

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อลด ยอดขายตก การส่งออกชะลอ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ “ขาดสภาพคล่อง” อย่างหนัก จะนำเงินที่ไหนไปลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักร แค่ประคองธุรกิจให้รอดแต่ละเดือน ก็หืดขึ้นคอแล้ว อีกทั้งหลายธุรกิจยังถูก “พี่จีน” นำสินค้าราคาถูกมาถล่มซ้ำ ยังมีเรื่อง “พี่ทรัมป์” มาจ่อปรับขึ้นภาษีอีก

ADVERTISMENT

ขณะที่นโยบายส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในแวดวงท่องเที่ยวทั้งส่วนกลาง และในเมืองรอง 55 จังหวัดเอง หลายคนสะท้อนว่า บีโอไอใจดีเกิน ! ออกมาตรการกระตุ้นให้ทีเดียว 55 จังหวัด ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่ภาคเอกชนเคยเสนอภาครัฐให้ “นำร่อง” เพียงไม่กี่จังหวัด ไม่ใช่ “หว่านแห” 55 เมืองรอง

ยิ่งภาวะเศรษฐกิจยามนี้ แม้แต่การท่องเที่ยว “เมืองหลัก” เช่น เชียงใหม่ หัวหิน พัทยา ฯลฯ ยอดนักท่องเที่ยวลดจำนวนลง ทำให้ต้องอัดอีเวนต์ อัดโปรโมชั่นดึงนักท่องเที่ยวกันยกใหญ่

ดังนั้น การจะดึงให้นักธุรกิจด้านการท่องเที่ยวหอบเงินไปลงทุนในเมืองรอง ที่มียอดจำนวนนักท่องเที่ยวน้อย ไม่มีแม่เหล็กดึงดูดเท่ากับท่องเที่ยวเมืองหลัก เพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี คงเป็นอีกมาตรการดีที่มาผิดที่ ผิดเวลา สิ่งที่ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องการคือ “เม็ดเงินทุน” ที่จะมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้ได้ทันท่วงทีในภาวะวิกฤตยามนี้