‘ยาแรง’ จากไทย

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
คอลัมน์ : บทบรรณาธิการ

เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยมี รมต.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม นายกฯระบุว่า ประเทศไทยได้ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาระยะหนึ่ง และมีมาตรการอื่นที่เด็ดขาด ทำให้คดีลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ขณะนี้กัมพูชาถูกจับตาว่าเป็นฮับอาชญากรรมไซเบอร์ใหญ่สุดในโลก เราต้องเพิ่มมาตรการในเรื่องนี้ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ขอบชายแดนที่มีปัญหาต้องปราบปรามอย่างเด็ดขาด ที่ผ่านมาหน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงดิจิทัลฯได้ดำเนินมาตรการอย่างเข้มแข็ง ทำให้กัมพูชาเสียรายได้ไปประมาณ 30,000 ล้านบาท จึงขอให้ทำต่อเนื่องและจะไม่หยุดอยู่ตรงนี้ จะทำเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เขาเสียรายได้มากเท่าไหร่จะกลายเป็นว่าประชาชนของเราปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

วันเดียวกัน กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด อันเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จากอุบลฯ สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี ตราด เผยแพร่คำสั่งระบุว่า ทหารกัมพูชารุกลํ้าอธิปไตยในพื้นที่ของประเทศไทยโดยการลาดตระเวน ปรับปรุงที่มั่น และดัดแปลงภูมิประเทศ รวมถึงมีการนำประชาชนเข้ามาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่ ส่งผลกระทบทำให้ความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดนได้รับความเดือดร้อน และเกิดความตึงเครียด

จากสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนที่เดินทางข้ามแดนในพื้นที่ รวมถึงยังปรากฏการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการ Call Center และ Hybrid Scam ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในประเทศ และในภูมิภาคเป็นวงกว้าง จึงให้งดการผ่านเข้า-ออก ของยานพาหนะทุกประเภท, งดการเดินทางผ่านเข้า-ออกของประชาชน, นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ และการค้าขายทุกประเภท

แต่อนุญาตให้อำนวยความสะดวกด้านมนุษยธรรม ตามความเหมาะสม และความจำเป็น เช่น ด้านการรักษาพยาบาล, การส่งต่อผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลกรณีเร่งด่วน และด้านการศึกษาของนักเรียน รวมทั้งการดำเนินการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต่อการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ถือเป็นการใช้ “ยาแรง” จากรัฐบาลไทย หลังจากก่อนหน้านี้ ไทยได้ปรับเวลาเข้า-ออกผ่านด่านชายแดน โดยรัฐบาลพุ่งเป้าไปที่ 1.การรุกล้ำอธิปไตยของไทยโดยทหารกัมพูชา และ 2.การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ซึ่งปรากฏชัดเจนว่าหลังจากตัดอินเทอร์เน็ต น้ำมัน จากไทยแล้ว ทำให้คดีที่มีคนไทยเป็นเหยื่อจำนวนมาก มีตัวเลขที่ลดลง ถือเป็นการใช้มาตรการทางการบริหารจัดการปัญหาโดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลควรคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการค้าชายแดน หากเปิดช่องให้เกิดการทำมาหากิน หรือไปมาหาสู่ โดยไม่กระทบความสงบสุข ก็น่าจะต้องดำเนินการไปพร้อมกัน

ADVERTISMENT