สหรัฐ ทำลายระบบเศรษฐกิจโลก

คอลัมน์ ระดมสมอง
โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

กระสุนนัดแรกดังขึ้นแล้วอันเป็นกระสุนสงครามการค้าที่สหรัฐเป็นผู้เริ่มอันเป็นสงครามที่อนุรักษ์ผลประโยชน์ทางการค้าที่วอชิงตันได้วางแผนไว้นานแล้ว สงครามการค้าครั้งนี้ จะต้องใช้เวลานานเท่าใด ผลจะเป็นประการใดยังไม่มีใครสามารถสรุปได้

นักวิเคราะห์จีนมองว่า สงครามการค้าจะไม่มีผู้ชนะ หากเป็นการทำลายการค้าเสรี ทำลายโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ ตลอดจนระบบการค้าพหุภาคี  ประเทศทั่วโลกจะต้องได้รับผลกระทบโดยทั่วกันและอย่างแรงจากระบบ “เอกภาพนิยม” ของสหรัฐ

ในขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ป่าวประกาศว่า “อเมริกาชนะแน่นอน” กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้แจ้งเตือนรัฐบาลสหรัฐหลายครั้งแล้วว่า การเพิ่มภาษีการนำเข้าสินค้านั้น เป็นพฤติการณ์ “ทำลายผู้อื่นไม่เกิดประโยชน์แก่ตน”

นอกจากทำลายระบบการค้าทั่วโลก ยังเป็นการทำลายเศรษฐกิจสหรัฐอีกด้วย ในสหรัฐได้มีนักเศรษฐศาสตร์เกินกว่า 1,100 คน ได้ร่วมลงนามในเอกสารเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พอสรุปใจความได้ว่า “การเพิ่มภาษีการนำเข้าสินค้า ในทำนองป้องกันการขาดดุลนั้น เป็นเรื่องที่ผิดพลาด เป็นพฤติกรรมทำลายมหาชน ยกตัวอย่างการอดีตเมื่อปี 1930 สมัยประธานาธิบดี

เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ (Herbert Hoover) เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ได้ออกกฎหมายปกป้องการค้า (Trade protectionism bill) บรรดาคู่ค้าทั่วโลกจึงได้ตอบโต้ด้วยมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เป็นเหตุให้การนำเข้าลดลง 66% ส่งออกลดลง 61% ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐตกลงกราวรูด ผลิตภัณฑ์มวลรวมลดลง 30% อัตราการตกงานสูงถึง 20% ภาวะเศรษฐกิจซบเซาอย่างไม่เคยมีมาก่อน” นักเศรษฐศาสตร์ยังเตือนอีกว่าการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ยืนกระต่ายขาเดียวนั้นเป็นการนำพาจักรวรรดิไปสู่ปากเหว

“โดนัลด์ ทรัมป์” เปิดศึกการค้าครั้งนี้ นอกจากได้รับการตอบโต้จากจีนแล้ว ยังมีประเทศพันธมิตรยุโรป และประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง G7 ตลอดจนการตำหนิติเตียนและคัดค้านอย่างรุนแรงจากสมาคมการค้าต่าง ๆ ในสหรัฐ

ประเทศพันธมิตรยุโรปมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เรียกเก็บภาษีการนำเข้า 25% ของวงเงินสินค้า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐ ในประเด็นที่เรียกเก็บภาษีเพิ่มจากพันธมิตรเกี่ยวกับสินค้าเหล็กกล้าและอะลูมิเนียม เป็นต้น

แคนาดาและเม็กซิโกใช้มาตรการตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน แคนาดาประกาศเก็บภาษีการนำเข้าสินค้าของสหรัฐทั้งหมดในวงเงิน 1.26 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่เม็กซิโกจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทในอัตรา 25% ก็เพราะพฤติกรรม “ยืนกระต่ายขาเดียว” ของ “ทรัมป์” เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียความเชื่อมั่นขั้นพื้นฐานที่ควรมี สังคมโลกต่างถั่งโถมโหมแรงไฟ บริภาษณ์ความประพฤติของ “ทรัมป์” ในการพูดจาหุนหันพลันแล่น พลิกพลิ้วชิวหา เป็นการทำลายชื่อเสียงของประเทศ

สังคมโลกต่างเห็นว่า การกระทำของทำเนียบขาวไม่สอดคล้องกับหลักของตรรกะ เพราะเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค ผู้ผลิต ชาวไร่ชาวนาเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเด่นชัดยิ่งว่า การขึ้นภาษีการนำเข้าสินค้าก็เป็นการขึ้นภาษีผู้บริโภคของสหรัฐอย่างเต็ม ๆ

พลันที่ “ทรัมป์” ประกาศว่า “สหรัฐชนะแน่นอน” จีนก็ประกาศว่า “แม้จีนไม่มีเจตนาจะทำศึกการค้า แต่ก็ไม่กลัวสงคราม เพราะจีนมีความมั่นใจและมีความสามารถในการสู้ศึก”

แม้จีน-สหรัฐได้มีการเจรจาไม่ทำสงครามการค้าถึง 3 รอบ แต่ในที่สุดผลการเจรจาล้มเหลวโดยสิ้นเชิงสหรัฐเป็นประเทศที่ริเริ่มการก่อตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) น่าจะเป็นผู้นำในการธำรงไว้ ซึ่งระบบการค้าในระดับพหุภาคี เพื่อให้ชาวโลกได้รับประโยชน์ร่วมกันในทางเศรษฐกิจ

แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับชูนโยบายด้วยวลี “อเมริกาเฟิรสต์” ซึ่งเป็นบทบาทที่ขาดความสง่างามประวัติศาสตร์ยืนยันได้ว่า การทำสงครามการค้าเพื่อแก้ไขปัญหาการค้าขาดดุลนั้น เป็นเรื่องล้าสมัย และเป็นการกระทำที่ปราศจากความเฉลียวฉลาด การธำรงไว้ซึ่งระบบการค้าพหุภาคีเท่านั้น จึงจะเป็นวิธีแก้ปัญหาขาดดุลได้อย่างแท้จริง การทำให้ระเบียบวินัยการค้าพหุภาคีไปสู่ “ปากเหว” เป็นเรื่องที่ชาวโลกรับไม่ได้ จนเป็นเหตุให้ร่วมกับจีน เดินไปในทิศทางเดียวกันคือ “ตอบโต้เด็ดขาด”

การทำสงครามการค้าคราวนี้ สหรัฐต้องเปลืองตัวเปลืองเงิน แต่ในทางตรงกันข้ามอาจกลายเป็นการสร้างโอกาสให้กับจีนในการพัฒนาประเทศให้มีความรุ่งเรืองยิ่งขึ้น

“โดนัลด์ ทรัมป์” กำลังถอยหลังเข้าคลอง ย้ำรอยแห่งประวัติศาสตร์ของ “เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์”