อย่าให้เกษตรกรตกเป็นเบี้ยล่าง

แม้ยังมีความเสี่ยงจากสงครามทางการค้าที่อาจลุกลามเป็นสงครามค่าเงิน แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่อเนื่องจากแรงขับเคลื่อนภาคส่งออกและการท่องเที่ยวบวกกับการลงทุนและการบริโภคที่ฟื้นตัวชัดเจนจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น มีเพียงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี กับเศรษฐกิจฐานรากที่ยังน่าห่วง

การจัดทำมาตรการช่วยเหลือส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อยในท้องถิ่นชุมชนทั่วประเทศ จึงถูกยกระดับเป็นนโยบายสำคัญและมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการในปีนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต รายได้ รวมทั้งเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันให้เอสเอ็มอีและเกษตรกรไทย

ที่ภาครัฐกำลังขับเคลื่อนคือการปฏิรูปโครงสร้างภาคการเกษตร ตามนโยบายการตลาดนำการผลิตที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กับสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พยายามเน้นย้ำและสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯเร่งนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

แนวทางหนึ่งคือการดำเนินการภายใต้รูปแบบประชารัฐโดยอาศัยการประสานความร่วมมือ 3 ฝ่าย ประกอบด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการแก้ปัญหาอุปสรรค สร้างโอกาส สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับเกษตรกรและคนในระดับรากหญ้า

เริ่มจากปรับระบบการผลิตโดยส่งเสริมการทำเกษตรแปลงใหญ่ สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มทำการผลิต บริหารจัดการร่วมกัน และร่วมกันจำหน่ายโดยมีตลาดมารองรับ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต ทั้งนาแปลงใหญ่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แปลงใหญ่ มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน มังคุด โคเนื้อ กุ้งขาว ฯลฯ

ขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงด้านการตลาดโดยอาศัยกลไกสหกรณ์ รวมทั้งให้ภาคเอกชนที่อยู่ใต้ร่มธงประชารัฐทั้งในพื้นที่ และบริษัทจากส่วนกลางรับซื้อผลผลิตไปจำหน่ายทั้งในประเทศ ส่งออก หรือทำในรูปแบบเกษตรพันธสัญญา (contract farming)

เป็นเจตนาดีของภาครัฐที่ดึงหลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรไทยซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศด้วยการสนับสนุนส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่ มุ่งผลิตสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม การดึงกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การตลาด หรือเกษตรพันธสัญญา แม้จะเป็นเรื่องดีแต่ต้องไม่ให้เกษตรกรตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกเอาเปรียบจากสัญญาที่ไม่เป็นธรรม มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาซ้ำรอย เข้าทำนองยื่น “อ้อยเข้าปากช้าง”