“โกง-หลอก” เงินดิจิทัล นับวันปูดขึ้นเรื่อย ๆ

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

โดย วิไล อักขระสมชีพ

 

และแล้วประเทศไทยก็ดังอื้อฉาวใน “คดีโกงเงินบิตคอยน์” มูลค่า 797 ล้านบาท ซึ่งเกี่ยวเรื่องเงินสกุลดิจิทัลที่หลาย ๆ ฝ่ายออกมาเตือนกันตลอดในช่วงที่ผ่านมาว่า มีความเสี่ยงสูง แต่ความโลภอยากได้กำไรสูง ๆ ก็บังตา

คดีโกงบิตคอยน์นี้ ทำเป็นขบวนการเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 ก่อนที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาบังคับใช้เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา นอกจากฟ้องร้องฉ้อโกงเงินแล้ว ยังเข้าข่ายการฟอกเงินด้วย และพัวพันถึงปั่นหุ้น DNA อีกด้วย ขณะนี้ทั้งตำรวจกองปราบปราม และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็กำลังดำเนินการหาหลักฐานเอกสารและสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่นั้นส่วนขั้นตอนดำเนินคดี ในเบื้องต้นตำรวจได้ออกหมายเรียกผู้ที่เข้าข่ายกระทำความผิดทั้ง 8 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม

โดยกลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีพยานหลักฐานชัดเจน และแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ทั้งหมด 5 คน ได้แก่ นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต, นายปริญญา จารวิจิต, นายธนสิทธิ์ จารวิจิต, นายชาคริส อาห์มัด และ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นักเล่นหุ้นชื่อดังในตลาดหุ้นไทย และกลุ่มที่สองที่เข้าข่ายกระทำความผิดในการฟอกเงิน ทั้งหมด 3 คน นางเลิศฉัตรกมล จารวิจิต, นายสุวิทย์ จารวิจิต (พ่อและแม่) นายธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตนายทหาร โดยกำหนดให้เข้าสอบปากคำระหว่างวันที่ 27-29 ส.ค.นี้

ทางฝั่งผู้ถูกหมายเรียกต่างก็ออกมาให้ข่าวข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ดิ้นหลุดจากที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกง ทำให้ตอนนี้แตกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่ง “นายประสิทธิ์” ที่ดึงนายธรรมนัสมาอ้างอิง กับฝั่ง “นายปริญญา”

ส่วนผู้เสียหายที่ถูกฉ้อโกง คือ นายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา ชาวฟินแลนด์ ซึ่งมีแฟนสาว “น.ส.ชนนิกานต์ แก้วกาสี” ช่วยเหลือเรื่องคดีนี้

ขณะที่เรื่องคดีโกงบิตคอยน์ยังอยู่ระหว่างดำเนินการนั้น ล่าสุด ก.ล.ต.ก็ออกมาเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ หากถูกชักชวนให้เข้าลงทุนโทเค็นดิจิทัล DB Hold ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจาก ก.ล.ต.ได้รับแจ้งจากนักลงทุนในการเสนอขายลักษณะดังกล่าว จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติม โดยพบว่า บริษัท ดีบี โฮลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ DB Hold มีการชักชวนประชาชนผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้เข้าร่วมลงทุน โดยเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชน พร้อมกับเสนอขายโทเค็นดิจิทัล รวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อนำไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ อาทิ แพลตฟอร์ม เพื่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการด้วยคริปโทเคอร์เรนซีสกุลดีบีคอยน์ หรือดีบีโทเค็น การลงทุนในระบบบล็อกเชน และลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ การกระทำข้างต้นอาจเข้าข่ายเป็นการชักชวนและเสนอขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่และโทเค็นดิจิทัลต่อประชาชนเป็นการทั่วไป โดยยังไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต.ได้สั่งการให้ DB Hold ยุติการชักชวนผู้ลงทุนในลักษณะดังกล่าวแล้ว และยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้ออกโทเคนดิจิทัลรายใดได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. หากผู้ใดหรือนักลงทุนใดที่ยังถูกชักชวนให้ลงทุนในโทเค็นดิจิทัล หรือมีเบาะแสที่น่าสงสัยเข้าข่ายผิดกฎหมาย ก็สามารถตรวจสอบว่าผู้ที่เสนอขายหลักทรัพย์ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.หรือไม่ทางเว็บไซด์ www.sec.or.th และสามารถแจ้งมายัง Help Center โทร. 1207 ของ ก.ล.ต.ได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ก.ล.ต. เปิดเผยว่า มีผู้ยื่นขออนุญาต “ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล” แล้ว 5 ราย และผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล (Dealer) 2 ราย ส่วนอีก 2 รายที่ยื่นขอประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ยังอยู่ระหว่างสอบทานข้อมูล

ส่วนเงินดิจิทัลไทยตัวแรก “เจฟินคอยน์” ของบริษัท เจ เวนเจอร์ส (เครือเจมาร์ท) ล่าสุด 15 สิงหาคม ราคาซื้อขายกันอยู่ที่ 1.70 บาท/1 โทเค็น ต่ำกว่าราคาจองที่อยู่ 6.60 บาท ผู้ถือเจฟินคอยน์ ขาดทุนกันไป

จากนี้ไปจะเห็นเรื่องเงินดิจิทัล อื้อฉาวค่อย ๆ ปูดขึ้นมาเรื่อย ๆ และคนที่เกี่ยวข้องก็หนีไม่พ้นเหล่าพวกโจรใส่สูทที่มีทั้งวิญญาณผีปั่นหุ้น-หลอกต้มตุ๋นที่อาศัยอีโคซิสเต็มใหม่ “โลกการเงินดิจิทัล” และที่สำคัญ สมรภูมินี้ไม่มีใครแน่จริง วันนี้หลอกคนอื่นได้ วันหน้าก็มีสิทธิ์ถูกหลอกกลับได้

คำเตือน “อย่าโลภจนหน้ามืดตามัว” มองคนอื่นโง่เลยคิดแต่จะอยากได้เงินคนอื่นง่าย ๆ เพราะถึงวันหนึ่งที่คนเสียหายเงินมหาศาล เช่น คดีโกง 797 ล้านบาท เรื่องนี้ก็ต้องถึงหูตำรวจ ถึงมือกฎหมาย ยิ่งตอนนี้ประเทศไทยมีพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ออกมาบังคับใช้แล้ว เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2561 และยังมีกฎหมายอีกหลาย


ฉบับที่สามารถเอาผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ฟอกเงิน จนไปถึงกฎหมายการปั่นหุ้นก็ตาม หากพบว่าเกี่ยวข้อง หากว่าตำรวจเข้มแข็งดำเนินคดีถึงที่สุด