ทิศทางเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย Q4 ปัญหาหนี้ในระบบเศรษฐกิจไทย

คอลัมน์ ดุลยธรรม

โดย ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

จากการคาดการณ์มีแนวโน้มสูงว่าอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในไตรมาส 4/2561 จึงไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายปีนี้

แม้ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และจะปรับเพิ่มอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2561 แต่จะไม่มีผลต่อกระแสเงินไหลออกมากนัก เนื่องจากตลาดการเงินไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุน บวกกับการมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งก็ส่งผลให้ความมั่นใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (foreign direct investment-FDI) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า หลังจากกระบวนการเจรจาข้อตกลงทางการค้าสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม

อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในระบบธนาคารและสถาบันการเงิน จึงทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ครัวเรือนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้น้อยลง จึงไปก่อหนี้นอกระบบมากขึ้น

ทั้งนี้ ครัวเรือนไทยกว่า 49% หรือ 10 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบ ขณะที่ภาคธุรกิจก็มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น

ส่วนภาคแรงงานไทยที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือน เป็นหนี้ถึง 96-97% หรือคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 130,000 บาท โดยเป็นหนี้นอกระบบ 53-54% และ 78-79% เคยผิดนัดชำระหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้การผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก และหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินจะเพิ่มสูงขึ้น

โดยเฉพาะธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่ต้องตอบสนองนโยบายของรัฐในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ขณะนี้ยอดปรับโครงสร้างหนี้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องประมาณ 40% ของหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ จะกลับมาเป็นหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล แม้ตัวเลขเอ็นพีแอลในระบบยังค่อนข้างต่ำ

แต่เริ่มมีสัญญาณฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งหนี้เสียที่อยู่อาศัยและหนี้เสียสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น โดยที่หนี้เสียที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นกลุ่มคนอายุระหว่าง 40-53 ปี (เจนเอ็กซ์)

สำหรับการก่อหนี้ของครัวเรือน ส่วนใหญ่จะใช้ไปเพื่อการอุปโภคบริโภค การซื้อบ้านและที่ดิน และเพื่อการลงทุนและประกอบอาชีพ การกู้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ค่าการศึกษาบุตร และค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ

โดยเจ้าหนี้นอกระบบมักเอารัดเอาเปรียบ มีการคิดดอกเบี้ยถึง 20-30% ต่อเดือน และมักคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกในเวลาที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันตามกำหนด

ทำให้ลูกหนี้ต้องกลายเป็นผู้ที่มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งเจ้าหนี้นอกระบบยังใช้วิธีการทวงหนี้ที่รุนแรง เช่น การใช้กำลังข่มขู่ หรือทำให้ลูกหนี้อับอายด้วยวิธีอื่น ๆ การเอารัดเอาเปรียบและวิธีการทวงหนี้ที่รุนแรงนี้ ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมติดตามมา

ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ภาครัฐต้องมีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงการใช้บริการทางการเงิน และเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ควบคู่กับเปลี่ยนหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบ

นอกจากนี้ การปล่อยให้ดอกเบี้ยลอยตัวในระบบสถาบันการเงิน เพื่อให้การคิดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามความเสี่ยงของลูกหนี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาการเป็นหนี้นอกระบบได้ระดับหนึ่ง และส่งเสริมการแข่งขันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในระบบสถาบันการเงิน และเข้าถึงบริการการเงินได้ทั่วถึงครอบคลุมมากขึ้น แต่ต้องไม่แข่งขันกันจนเกินพอดี จนเกิดความเสี่ยงต่อระบบ

นอกจากนี้ ควรบูรณาการการกำกับดูแลระบบสถาบันการเงินให้เชื่อมโยงกันมากขึ้น และก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับนวัตกรรมทางการเงินที่อาจนำมาสู่ความเสี่ยงของระบบการเงิน

อย่างไรก็ตาม วิกฤตสถาบันการเงินหากจะเกิดขึ้นในอนาคต ความอ่อนไหวจะไม่ได้อยู่ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ หากจะอยู่ที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ และnonbank ต่าง ๆ รวมทั้งการเก็งกำไรในนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ เช่น cryptocurrency