เพื่อไทย-เบี้ยหัวแตก

คอลัมน์ สามัญสำนึก

โดย อิศรินทร์ หนูเมือง

ขึ้นอยู่กับว่า “คดีโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร จะไปสิ้นสุดที่ไหน

จึงจะเป็น “คำตอบ” ว่า “พรรคดีเอ็นเอ” ของเพื่อไทย และตระกูลชินวัตร จะไปสังกัดพรรคการเมืองใด

ระหว่างเพื่อไทย ที่ยืนยันไปต่อ และต่อสู้คดียุบพรรคจนถึงที่สุด

กับพรรคเพื่อธรรม ที่ยังสแตนด์บายเป็น “อะไหล่” พร้อมให้โครงใหญ่จากเพื่อไทยทั้งองคาพยพมาสวมหัว

หรือจะเป็นพรรคเพื่อชาติ ที่ประกาศเป็นพรรค “เกาะกลาง” ให้กับฝ่ายแดง และเหลืองอกหัก-สายเอ็นจีโอเข้าร่วม

ยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำที่หนุนหลังพรรคเพื่อชาติ บอกว่า เขามีภารกิจรวบรวมกองกำลังรอไว้ มีบุคคลบิ๊กเนม-บิ๊กเซอร์ไพรส์ จะเข้าร่วมสังฆกรรมด้วย

พลพรรคเพื่อชาติเชื่อกันว่า หลังเลือกตั้งคงไม่มีใครจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะจะต้องมีคีย์แมน-วิปนอกสภา จัดหามือได้ 376 เสียง เพื่อชูคนกลางเป็นนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น หากฝ่ายประชาธิปไตยหวังชนะ 3 คูหา เข้าไปกาช่อง “แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ก็หมดสิทธิ์ ตั้งแต่ยกแรก

บางทีท้ายที่สุด ทุกคนในเครือข่าย “ชินวัตร” อาจไปหยุดรวมตัวกันที่พรรค “ไทยรักษาชาติ” หรือ ทษช. ที่จงใจให้ย่อมาจาก “ทักษิณ ชินวัตร”

ข่าวจากคนวงในพรรคเพื่อไทย บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทายาท “ชินวัตร” อาจหันหัวเรือไปทาง “ทษช.”

และยังคงเป็น “ชินวัตร” ที่จะชี้ว่า ใครจะอยู่ในตำแหน่งพรรคเดิม

ใครจะต้องย้ายไปลง ส.ส.ระบบเขต ในพรรคลูกข่ายทั้ง 3 พรรค

ยุทธศาสตร์ “พรรคแตก-แตกพรรค” ครั้งแรกสุด หวังแก้เกมการเลือกตั้งแบบ “บัตรใบเดียว” ที่จะทำให้เพื่อไทยได้ ส.ส.ระบบเขตมาก แต่ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อน้อยลง

ดังนั้น หากผ่องถ่าย ส.ส.ระบบเขต ไปพรรคเพื่อธรรม-ทษช. เพื่อเก็บชัยชนะ ส.ส.เขต ทุกเม็ด ขณะที่คะแนนตกน้ำก็ยังสะสมแต้มได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มได้อีกทาง

ส่วนยุทธวิธี พรรคเพื่อไทยก็ดันนักการเมืองรุ่นใหญ่ ตัวจริง เสียงจริง มีชื่อเสียงระดับบ้านใหญ่ ตระกูลดัง ที่เคยอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ กลับคืนสู่ ส.ส.ระบบเขต เช่น “เทพกาญจนา-ฉายแสง” แม้กระทั่ง เลขาธิการพรรค ก็อาจต้องไปลงรับสมัครในระบบเขต

กิตติรัตน์ ณ ระนอง, โภคิน พลกุล, สุธรรม แสงประทุม ก็ต้องถูกบรรจุชื่อไว้ในเขตกรุงเทพมหานคร

ทว่าเมื่อ “นายใหญ่” พลิกเกมไว อุบัติชื่อพรรคใหม่ “ไทยรักษาชาติ” ตั้งเป้าเป็นพรรค “ดีเอ็นเอ” เกมภายในก็สั่นสะเทือน

เกมของ “นายใหญ่” ต้องการให้แยกกันเดิน ร่วมกันตี เก็บทุกแต้มทั้งคะแนนชนะ และคะแนนตกน้ำ ให้อยู่ในกลุ่ม 4 พรรค แล้วไปผนึกกับพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็น “อดีตพันธมิตร” ทางการเมือง

ทั้งพรรคนอมินี “ประชาชาติ” หรือ “ชาติไทยพัฒนา” คนเคยอยู่ในชายคาไทยรักไทย หรือแม้กระทั่ง “อนาคตใหม่” ให้ไหลมารวมกันหลังเลือกตั้ง

หวังให้ฝ่ายที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ชนะเลือกตั้งแบบ “หิมะถล่ม”

ไม่ควรลืมว่า เกมการเลือกตั้งแบบใหม่-บัตรใบเดียว จะทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” ได้เปรียบแทบทุกประตู

แม้มีเกมที่ซับซ้อนในการเลือกหัวหน้าพรรค มาคั่นรายการ

แต่ท้ายที่สุด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อาจรับชัยชนะ 3 คูหา

คูหาแรก ชนะการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรค

คูหาที่สอง นำ ส.ส.เข้าสภาได้มากกว่า หรือเท่ากับครั้งที่ผ่านมา

คูหาที่สาม เข้าป้ายเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งการเจรจาก๊อกแรก และก๊อกสอง

อาศัยจังหวะพรรคมีความไม่แน่นอนเรื่อง “พรรคแตก-แตกพรรค” ของฝ่ายเพื่อไทย อาจทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนแบบ “เบี้ยหัวแตก”

ประชาธิปัตย์กินนิ่งทั้งคะแนนระบบเขต และคะแนนตกน้ำ ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นกอบเป็นกำ


ถ้า “เจ้ามือใหญ่ที่สุด” ยอมรับข้อเสนอ เดิมพันของ “อภิสิทธิ์” ครั้งนี้ ไม่มีอะไรจะเสีย !!!