คอลัมน์ สามัญสำนึก
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
ปัจจัยชี้ขาดในการชนะเลือกตั้ง 4 ครั้ง ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา คือ “นโยบายประชานิยม”
ครั้งที่ 1 พรรคไทยรักไทย นโยบายประชานิยมครั้งแรก ดันให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ชนะเลือกตั้ง ในปี 2544 ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เป็นรัฐบาลพลเรือนที่อยู่ครบเทอมวาระ 4 ปี
ครั้งที่ 2 พรรคไทยรักไทย ภายใต้นโยบายหาเสียง ประชานิยมภาค 2 ด้วยแคมเปญ “สี่ปีซ่อม สี่ปีสร้าง” ในปี 2548 ส่งผลต่อการชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายได้ ส.ส.377 คน จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ภายใต้ระบบเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
ครั้งที่ 3 ภายใต้แคมเปญหาเสียง ในฤดูเลือกตั้ง 2550 ขยายผลความสำเร็จของนโยบายประชานิยม “ต้นตำรับ” ภายใต้สโลแกน “ทุกนโยบาย สำเร็จได้ ด้วยพลังประชาชน” ส่งผลให้ “ทีมทักษิณ” ที่นำโดย สมัคร สุนทรเวช ในนามพรรคพลังประชาชน กำชัยชนะด้วย 14 ล้านเสียง กวาด ส.ส.เข้าสภา 233 คน
ครั้งที่ 4 การเลือกตั้งปี 2554 นโยบายประชานิยมถูกขยายผล เป็นแคมเปญหาเสียง “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ส่งผลให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชนะการเลือกตั้ง ด้วยคะแนน 15.7 ล้านเสียง ขน ส.ส.เข้าสภาได้ 265 คน
สังเวียนการต่อสู้ในการเลือกตั้ง 2562 ยังคงอยู่ที่ “นโยบายเศรษฐกิจ” และแน่นอนว่า “นโยบายประชานิยม” ยังเป็นปัจจัยชี้ขาดชัยชนะ…อีกครั้ง
และคู่แข่งขันที่สำคัญในลู่สนามครั้งนี้ ที่เข้มข้น-ขับเคี่ยว มี 2 พรรค คือ พรรคพลังประชารัฐ กับพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งใช้นโยบายประชานิยมแบบเข้มข้น
ต่างไปตรงที่ พรรคพลังประชารัฐ พยายามเรียกนโยบายของตัวเองว่า “ประชารัฐ” หรือ “รัฐสวัสดิการ”
“อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม-ควบตำแหน่งหัวหน้าพรรค “พลังประชารัฐ” บอกว่า “จุดขายของพรรคในการหาเสียงคือ ต้องทำให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเพียงพอ…พลังประชารัฐจะสร้างสังคมสวัสดิการ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นนโยบายประชานิยม”
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ได้ตกลงกับสำนักงบประมาณไว้ว่า ในแต่ละปีจะกันเงินใช้ในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปีละ 100,000 ล้านบาท”
มีการพูดถึงผลสำรวจความนิยมของนักการเมืองที่พึงปรารถนา ของมหาวิทยาลัยรังสิต ระบุว่า “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถเอาชนะใจกลุ่มคนจน 11 ล้านคน ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับคะแนนนิยมเหนือกว่าหัวหน้าพรรคคู่แข่ง”
ในช่วง 1 เดือนก่อนที่จะมีการตราพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง หรือราว 100 วันก่อนวันเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ที่พรรคพลังประชารัฐ คาดหมายว่าจะลงมติสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี อนุมัติมาตรการ “ประชานิยม” ใน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” 14.5 ล้านคน ใช้งบฯกว่า 1 แสนล้าน
ไม่ควรลืมว่า คณะรัฐบาล คสช. “เกลียดตัวกินไข่-เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงประชานิยม” ถึงกับ “ตรา” ไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ว่า “รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด…” และตรา พ.ร.บ.การคลังของรัฐ 2561 ระบุถึงแนวทาง “ประชานิยม” ไว้ว่า…
“รัฐต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว”
แต่รัฐบาล “ประชารัฐ” ได้ตรา พ.ร.บ.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สนับสนุนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณ 46,000 ล้านบาท/ปี ไว้รองรับ
“ประชานิยม” อาจทำให้ “พรรคทักษิณ” ได้รับชัยชนะเป็นครั้งที่ 5 หรือ “ประชานิยม” ในคราบของ “ประชารัฐ” อาจส่งผลต่อชัยชนะทางการเมือง “ฝ่ายบิ๊กตู่” เป็นครั้งแรก
หากทั้งบิ๊กตู่-ฝ่ายทักษิณ มองเห็นว่า ประชานิยม เลวร้าย เป็นภาระพอกไว้ในงบประมาณมหาศาล จะทำให้ประเทศวิกฤตซ้ำซาก
ทั้งคู่คงไม่แข่งกันเอาเป็นเอาตาย ด้วยการนำเงินภาษีของคนทั้งประเทศมาเป็นตัวประกันในการหาเสียงล่วงหน้ามโหฬารเช่นนี้
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลย พิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!