ขี่จักรยานหาความฝัน

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

โดย สาโรจน์ มณีรัตน์

ช่วงวันหยุดยาวมีโอกาสหยิบหนังสือเรื่อง “A Bike Ride” หรือ “ความฝันไม่มีวันหมดอายุ” ซึ่งมี “แอน มุสโต” เป็นผู้เขียน ส่วนผู้แปล คือ “วิทยา ทองสุข”

จำได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความฝันอยากจะขี่จักรยานไปทั่วโลก และเธอก็ทำสำเร็จเสียด้วย

แต่ผมจำรายละเอียดไม่ได้

วันนี้จึงหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาปัดฝุ่นเพื่ออ่านอีกครั้ง

เพราะต้องการหาแรงบันดาลใจในการออกกำลังกาย โดยเฉพาะกับการขี่จักรยาน เพราะตลอดเวลาผ่านมา 3 ปี ผมซื้อจักรยานมาคันหนึ่ง

ซื้อมาเพื่อขี่ออกกำลังกาย

แต่ผมกลับขี่จักรยานน้อยครั้งมาก ทั้ง ๆ ที่จักรยานจอดแน่นิ่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ว่างเมื่อไหร่ก็นำลงจากลิฟต์ชั้น 5 ประชาชาติ เพื่อมาขี่ได้ทันที แต่ผมกลับมีข้ออ้างเรื่องเดิม ๆ ว่างานเยอะ ไม่ค่อยมีเวลา

ต้องไปต่างจังหวัดบ้าง ต่างประเทศบ้าง

ไหนจะหน้าฝนที่เฉอะแฉะ

หน้าร้อนก็ร้อนไป

ไว้ค่อยขี่หน้าหนาวแล้วกัน

ทำไปทำมา แทบไม่ค่อยได้ขี่จักรยานเลย จนวันหยุดผ่านมาผมบอกตัวเองว่า หลังจากปีใหม่นี้ คงต้องออกกำลังกายบ้างแล้วล่ะ เพราะรู้สึกเพลียบ่อยครั้ง

รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนบ่อย

ครั้นจะวิ่งก็คงจะยาก เพราะอายุมากแล้ว

ครั้นจะเดิน ก็ขี้เกียจ

เพราะรู้สึกว่าไหน ๆ ก็ซื้อจักรยานมาแล้ว ทำไมไม่ขี่ล่ะ ที่สุดผมจึงเลือก

ขี่จักรยานดีกว่า แต่กระนั้นก็ต้องหาแรงบันดาลใจมาเป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง เพราะจำได้ว่าเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เธอพูดถึงแรงบันดาลใจในการขี่จักรยานรอบโลก

ทั้งนั้น เพราะ “แอน มุสโต” เคยไปเที่ยวอินเดียกับเพื่อน ๆ และระหว่างที่เธอนั่งรถบัส เธอมองผ่านกระจกไปเห็นหนุ่มยุโรปคนหนึ่งกำลังปั่นจักรยานข้ามทะเลทรายเกรททาร์ รัฐราชสถานเพียงลำพัง

เธอมองเห็นภาพจักรยานคันหนึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลทราย

ซึ่งเป็นภาพที่จุดประกายความคิดของเธอว่า สักวันหนึ่งฉันจะต้องสัมผัสอิสรภาพแบบนี้บ้าง ฉันไม่อยากมองผ่านกระจกแบบนี้ แต่ฉันอยากสัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริง

กล่าวกันว่า ความคิดตรงนี้เองที่ทำให้ “แอน มุสโต” อยากขี่จักรยาน แต่เมื่อเธอหันมาสำรวจตัวเอง เธอกลับพบว่า ตอนนี้เธออายุ 54 ปีแล้ว ฉันไม่ได้เป็นนักกีฬา ปะยางเองก็ไม่เป็น

“แถมยังเกลียดการตั้งแคมป์ และปิกนิก ชอบแต่ความสะดวกสบาย พูดง่าย ๆ ว่าฉันไม่มีคุณสมบัติของนักปั่นจักรยานเอาเสียเลย แต่กระนั้นฉันก็ชอบท่องเที่ยวแบบเจาะลึก ชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ดังนั้น ถ้าฉันจะขี่จักรยานไปรอบโลก ฉันจะต้องกำหนดเส้นทางที่ฉันเลือกเอง”

เมื่อเธอคิดดังนั้นเธอจึงเริ่มมาร์กจุดในการเริ่มต้นออกเดินทาง โดยเธอลาออกจากอาชีพครูใหญ่ และตำแหน่งต่าง ๆ ในเมืองซัฟโฟล์ก ประเทศอังกฤษก่อน เพื่อที่จะได้เงินก้อนหนึ่ง รวมกับเงินค่าเช่าห้องที่เธอปล่อยให้คนเช่าอีกจำนวนหนึ่ง

ต่อจากนั้นเธอก็เริ่มวางแผนการเดินทาง โดยเริ่มต้นจากเส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่เธอสนใจด้วยการขี่จักรยานย้อนไปในเส้นทางของอารยธรรมตะวันตกสู่อารยธรรมตะวันออก

โดยเธอใช้เส้นทางที่ชาวโรมันฝากผลงานเอาไว้ เพื่อขี่จักรยานข้ามไปยุโรปก่อน ต่อจากนั้นจึงย้อนรอยตามเส้นทางของกองทัพพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

โดยเริ่มจากกรีซเพื่อเดินทางสู่อินเดียตามมาด้วยเส้นทางของกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมกุลที่ใช้บุกยึดอินเดีย ต่อด้วยเส้นทางที่กองทัพสหราชอาณาจักรเดินทางเข้ายึดครองอินเดีย พม่า มาเลเซีย และสิงคโปร์

กระทั่งข้ามฝั่งไปนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเธอบอกว่า จะต่อเครื่องบินไปยังเมืองดับลิน ก่อนที่จะต่อเรือข้ามทะเลไปเมืองโฮลีเฮด เพื่อขี่จักรยานต่อไปยังถนนวอลติ้งสตรีต ซึ่งอยู่ตอนเหนือใกล้กับเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษรวมระยะทางทั้งหมดประมาณ 12,000 ไมล์

ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่าเธอทำได้ เพราะ “แอน มุสโต” เป็นผู้หญิงค่อนข้างอ้วน แต่ที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียวด้วย หากต่อมาอีกหลาย ๆ ครั้งเธอก็ขี่จักรยานท่องโลกแบบนี้อีก

พร้อมกับเขียนหนังสือไปด้วย

ดังนั้น เมื่อผมมาอ่านหนังสือเล่มนี้ของเธออีกครั้ง หลังจากที่เคยอ่านไปเมื่อหลายปีผ่านมา จึงทำให้รู้สึกว่าเราเป็นผู้ชายแท้ ๆ แม้จะอายุเท่ากับเธอตอนนั้นก็ตาม แต่เรากลับไม่เคยมีความฝันที่ท้าทายอย่างเธอเลย

ตรงข้ามกลับทำตัวเป็นบุรุษชอบอ้างจนทำให้ไม่ได้ขี่จักรยานเสียที

แต่ตอนนี้ผมคิดใหม่แล้ว เพราะต่อจากนี้ไปผมจะเอาจริง อยากจะทดสอบร่างกายดูสักตั้ง แม้จะไม่ถึงขนาด “แอน มุสโต” ก็ตาม แต่อย่างน้อยเส้นทางสายประชานิเวศน์ 1 ผมจะต้องรู้ทุกซอกทุกมุมให้ได้

ไม่ลำพังแต่ร้านอาหารนะ ร้านอื่น ๆ ที่อร่อย ที่ใครยังไม่เคยมาปักหมุด ผมจะลองขี่จักรยานสำรวจดู เผื่อบางทีจะได้นำข้อมูลเหล่านี้มาเขียนเล่าให้ผู้อ่านฟังในฉบับต่อ ๆ ไป

อ้าว ไหงคำตอบออกมาแบบนี้ล่ะ

ว่า จะขี่จักรยานออกกำลังกายซะหน่อย

แต่กลับมาเล่าเรื่องร้านอาหารเสียแล้ว (ฮา)