วิกฤตฝุ่นพิษ…รัฐต้องไม่นิ่งดูดาย

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าววิกฤตมลพิษในจังหวัดเชียงใหม่แพร่สะพัดไปทั่วโลก หลังเว็บไซต์ตรวจสอบคุณภาพอากาศ www.airvisual.com จัดอันดับเมืองเชียงใหม่ ประเทศไทย เป็นเมืองที่มีมลพิษสูงสุดหลายวันติดต่อกัน เช่นเดียวกับอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือ ทั้งเชียงราย พะเยา ฯลฯ ที่หมอกควันพิษอยู่ในระดับรุนแรง

ส่วนกรุงเทพฯ ปริมณฑล แม้วิกฤตก่อนหน้านี้เริ่มคลี่คลาย แต่หลายพื้นที่ยังมีปัญหาหนัก ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ยังเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยประชาชนจำนวนมาก

โดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้กระตือรือร้นหาทางป้องกันแก้ไขปัญหา ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเวลานี้ฝ่ายนโยบายกำลังสาละวนอยู่กับฝุ่นตลบทางการเมือง เพราะอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคมจะมาถึง

ทำให้หน่วยงานปฏิบัติในพื้นที่ใช้วิธีแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า ลดฝุ่นควันพิษที่เกิดขึ้นวันต่อวัน ด้วยการล้างถนน การฉีดพ่นน้ำในอากาศ ฯลฯ ขณะที่มาตรการคุมเข้มห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นเผาขยะ เผาป่า เผาเศษวัสดุทางการเกษตร ควันพิษจากรถยนต์ ฯลฯ

ยังเป็นไฟไหม้ฟาง หย่อนยานทั้งผู้รักษากฎ และประชาชนที่ต้องทำตามกติกา

แนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง หมอกควันพิษ ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง ระยะยาว ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กับมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ยกระดับความสำคัญปัญหานี้เป็นวาระแห่งชาติ จึงยังอยู่ในแผ่นกระดาษแทนที่จะถูกนำมาปฏิบัติ

เท่ากับภาครัฐยังทำงานในลักษณะวิ่งตามปัญหา

ขณะเดียวกัน นอกจากเน้นแก้ที่ปลายเหตุแล้ว แต่ละหน่วยงานยังต่างคนต่างทำ หมอกควันพิษเข้าขั้นวิกฤตแต่ละครั้ง จึงต้องกลับมานั่งนับหนึ่งใหม่

ไม่แปลกที่ประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต้องดิ้นรนหาทางป้องกันตนเอง เพื่อลดผลกระทบจากฝุ่นพิษ PM 2.5, PM 10 ฯลฯ เท่าที่พอจะทำได้ แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีทางเลือก ต้องยอมเสี่ยงสูดดมฝุ่นควันพิษ

ก่อนวิกฤตมลพิษทางอากาศที่กำลังสร้างปัญหาในหลายพื้นที่ และต้นเหตุมาจากหลายแหล่งจะขยายวงกระทบประชาชน การสัญจรทั้งทางบก ทางอากาศ เสียหายต่อเศรษฐกิจ ธุรกิจ ภาคการท่องเที่ยวมากกว่านี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหยุดซื้อเวลาหันมาแก้ปัญหาทั้งระบบโดยเร่งด่วน

ด้วยการบูรณาการทำงานภาครัฐและเอกชน ควบคู่กับบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด พร้อมรณรงค์ปลุกจิตสำนึกให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงมหันตภัยใกล้ตัวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพราะน่าจะมีทางเดียวที่จะสกัดภัยเงียบใกล้ตัวให้เห็นผลได้