ส่งต่อรัฐบาลชุดใหม่ แก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมัน

แฟ้มภาพ

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ โดย กษมา ประชาชาติธุรกิจ

 

วิกฤตราคาปาล์มน้ำมันรอบนี้สาหัสสำหรับรัฐบาล จากการที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบ และผู้ส่งออกบางส่วน เล่าถึงสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นว่า “ซัพพลายล้น” เป็นจุดเริ่มต้นปัญหานี้มาจากภาวะ “ตลาดโลก” ซบเซา เนื่องจากสหภาพยุโรปปรับเปลี่ยนนโยบายภายในและชะลอซื้อน้ำมันปาล์มดิบ ส่งผลให้ผู้ส่งออกทั่วโลกทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทยต้องรับผลจากเอฟเฟ็กต์นี้

โดยสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบโลกในปี 2561 มีปริมาณสูงถึง 70.84 ล้านตัน จากปี 2560 ที่มีปริมาณ 67.87 ล้านตัน ขณะที่สต๊อกไทยมีปริมาณ 4-5 แสนตัน มากกว่าปกติที่ไทยต้องมีสำรองน้ำมันปาล์มประมาณ 2.5 แสนตัน กระทั่งถึงเดือนมีนาคม 2561 สต๊อกน้ำมันปาล์มรวมของประเทศยังอยู่ที่ 5.3 แสนตัน

อีกทั้งไทยมีการเพิ่มพื้นที่ปลูกจาก 3 เป็น 5 ล้านไร่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เพื่อชดเชยความเสียหายจากน้ำท่วมใต้เมื่อหลายปีก่อน ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมี “ต้นปาล์มเด็ก” ที่สามารถให้ผลผลิตได้ดี จึงคาดการณ์ว่าปริมาณผลผลิตที่เคยอยู่ที่ 12 ล้านตันเมื่อหลายปีก่อนค่อย ๆ เพิ่มเป็น 15 ล้านตัน เมื่อปี 2561 และเป็น 17 ล้านตันในปีนี้ เท่ากับจะมีการหีบน้ำมันปาล์มดิบออกมาเรื่อย ๆ ทุกเดือน โดยจะออกสูงสุดในเดือนมีนาคม-มิถุนายน จากนั้นจะเริ่มลดลงในเดือนสิงหาคม

แนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐบาลตามนโยบาย “สร้างสมดุลน้ำมันปาล์ม” คือดึงซัพพลายส่วนเกินออกจากตลาด นับจากปลายปีก่อน คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) มีมติจ่ายชดเชยให้กับผู้ส่งออก เพื่อซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปส่งออก แต่ทว่าทำไม่ได้ เพราะตลาดส่งออกโลกไม่เอื้ออำนวย ทาง กนป.จึงหันมากระตุ้นดีมานด์ในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตกระแสไฟฟ้า 1.6 แสนตัน และให้กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้น้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมในไบโอดีเซลเกรดพิเศษ B20 นำร่องสำหรับรถบรรทุก ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 โดยรัฐช่วยชดเชยให้ซื้อน้ำมัน B20 ราคาที่ถูกกว่าดีเซลปกติลิตรละ 3 บาทในช่วงแรก และชดเชยเพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 5 บาทจนถึงเดือนมีนาคมนี้

อย่างไรก็ตาม เอกชนสะท้อนว่า 2 มาตรการข้างต้นไม่ได้ผลในทางปฏิบัติมากนัก เนื่องจากกระบวนการซื้อน้ำมันปาล์มเพื่อส่งมอบให้โรงไฟฟ้ามีขั้นตอนการดำเนินเอกสารยุ่งยาก ซ้ำซ้อน คือ โรงกลั่นต้องไปวิ่งไปรับเอกสารการรับสินค้าจากโรงไฟฟ้าบางปะกงทุกลอต และนำเอกสารนั้นไปวางบิลที่สำนักงานการไฟฟ้าฯ บางกรวย จ.นนทบุรี มีต้นทุนค่าเดินเอกสารเกิดขึ้น ซึ่งเหตุภาคเอกชนยอมจ่ายเพราะการขายน้ำมันปาล์มดิบในราคาตลาดจะได้เงินเพียง กก.ละ 14-15 บาท แต่หากขายให้ กฟผ.ได้ กก.ละ 18 บาท บวกค่าเอกสารไปอีก 1-2 บาท ก็ยังดีกว่าขายในตลาดปกติ

แต่เรียกได้ว่าโครงการนี้ทำให้ราคาปาล์มในตลาดมี 2 ราคา ซึ่งหากคิดทอนเป็นราคาผลปาล์มในโครงการเฉลี่ย กก.ละ 3.20-3.25 บาท แต่นอกโครงการไม่เกิน กก.ละ 2.40 บาท คล้ายคลึงกับการทำโครงการรับจำนำข้าวในอดีตที่ชาวนาแห่นำข้าวไปเข้าโครงการรับจำนำ

และอีกด้านที่ห่วง คือ การรับซื้อผลปาล์มเพื่อเข้าร่วมโครงการนี้ เป็นการโฟกัสซื้อผลปาล์มดิบจากฤดูกาล 2562/2563 เป็นหลัก โดยให้เกษตรกรนำสมุดเขียวมายืนยัน และให้โรงกลั่นส่งสำเนานี้ให้กับรัฐทุกครั้ง มุ่งเน้นดูดซับผลปาล์มดิบจากฤดูกาลใหม่ออกจากตลาด แต่ต้นตอปัญหาที่แท้จริงคือ สต๊อกปาล์มน้ำมันเดิมที่ค้างมา 4-5 แสนตัน ก็ยังคงค้างอยู่ ไม่ได้รับการแก้ไข

หากวัดประสิทธิภาพของโครงการโดยใช้ “ราคาปาล์มดิบ” เป็นเคพีไอ จะเห็นภาพสะท้อนราคาผลปาล์มเฉลี่ยที่ปรับลดลงต่อ เหลือ กก.ละ 2.30 บาท “กลุ่มชาวสวนปาล์ม” หลายจังหวัดเริ่มส่งสัญญาณแสดงความไม่พอใจการแก้ปัญหาของรัฐบาลซึ่งเหลือเวลาทำงานโค้งสุดท้ายไม่นานนัก ก่อนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้

ดังนั้น ในการประชุม กนป.นัดสุดท้ายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จึงได้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม โดยให้โรงกลั่นเร่งผลิตเพิ่มขึ้นจากวันละ 1,000 ตัน เป็น 1,700 ตัน เพื่อเร่งการดูดซับน้ำมันปาล์มส่วนเกินออกจากระบบเร็วขึ้น จากเดิมคาดว่าจะสิ้นสุดโครงการใน 6 เดือน ก็เร็วขึ้นภายใน 2 เดือน ประกอบกับให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อส่งออกอีก 1 แสนตันในราคาตลาด แม้ว่า กนป.มีมติก็จริง แต่การดำเนินการจะยังไม่เกิดขึ้นจริงตราบใดที่กรมการค้าภายในยังไม่ออกแนวทางการดำเนินการว่าจะให้ ปตท.ซื้อน้ำมันปาล์มดิบชนิดใด จะเป็น B100 หรือไม่ หรือหากออกแนวทางปฏิบัติให้ซื้อ B100 ส่งออกก็ต้องไปดูมาตรการขององค์การการค้าโลก (WTO) ว่าจะทำได้มากน้อยเพียงใด

และประเด็นที่ 2 “ปตท.” ต้องเป็นผู้หาตลาดส่งออกเอง ซึ่งในทางความเป็นจริงตลาดส่งออกปาล์มยังคงซบเซา การที่ ปตท.จะไปเร่งหาตลาดส่งออกในช่วงนี้จึงเป็นเรื่อง “ภาพฝัน” เช่นกัน


ดังนั้น อนาคตการแก้ไขปัญหาราคาปาล์มฤดูกาลนี้จึงเป็นเรื่องหลักที่ต้องส่งไม้ต่อรัฐบาลชุดใหม่หลังเลือกตั้ง