คอลัมน์ สามัญสำนึก โดย สมปอง แจ่มเกาะ
การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศเสร็จสิ้นลงไปแล้ว
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
หลังปิดหีบหลายคนติดตามความเคลื่อนไหวการนับคะแนนอย่างใจจดจ่อ ลุ้นกันตั้งแต่เย็นย่ำค่ำยันดึกดื่นเที่ยงคืน
ลุ้นว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง ใครจะได้เป็น ส.ส. ผู้สมัครคนใดสอบได้หรือสอบตก
แต่น่าเสียดาย ประชาชนคนไทยออกมาใช้สิทธิใช้เสียงน้อยไปหน่อย
จากข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุมีผู้ออกมาใช้สิทธิเพียง 65% จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 51.2 ล้านคน
ต่ำกว่าเป้าที่ กกต. คาดว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ 80%
ถัดมาเช้าวันจันทร์ ตลาดหุ้น เปิดซื้อขาย ปรากฏว่าแดงเถือก ช่วงเช้าร่วงไป 14.68 จุด ปิดตลาดช่วงเย็นลดลงไปถึง 20.38 จุด มูลค่าการซื้อขายราว ๆ 47,000 ล้านบาท
คงสะท้อนเรื่องความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อการเลือกตั้งและการเมืองไทยได้ไม่มากก็น้อย
ระหว่างทางที่ กกต. ยังไม่ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หัวข้อสนทนายอดฮิตของนักธุรกิจ ชาวบ้านร้านตลาด ร้อยทั้งร้อยคุยเรื่องการเลือกตั้ง…พรรคไหนจะได้คะแนนมากได้คะแนนน้อย, ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี
อีกเรื่องหนึ่งก็มีการกล่าวขานถึงมากกว่าก็เห็นจะเป็น
การทำงานการทำหน้าที่ของ กกต. ที่ถูกตำหนิติเตียนว่า ไม่โปร่งใส ไม่ชอบธรรม
เสียดายตังค์ เสียดายงบประมาณ
หลายคนถึงขนาดว่ามีการล่ารายชื่อเพื่อถอดถอน กกต. เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม จากผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ ที่ กกต. ทยอยประกาศออกมา แม้จะยังไม่ใช่ผลการเลือกตั้งและการรับรองรายชื่อผู้ที่ได้เป็น ส.ส.อย่างเป็นทางการ แต่เบื้องต้นคงพอจะอนุมานได้ว่า การที่การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มี
พรรคไหนที่ได้เสียงชนะแบบขาดลอย จึงมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลใหม่จะต้องออกมาในรูปของ “รัฐบาลผสม”
ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็เริ่มมีภาพของการร้องเรียน กกต. ที่ทยอยมีเข้ามาเรื่อย ๆ เช่น ร้องเพื่อขอให้ กกต. นับคะแนนใหม่,ร้องว่าพรรคโน้นพรรคนี้ ผู้สมัครคนโน้นคนนี้ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง หรือบ้างพรรคก็มีความข้องใจ ร้องให้ กกต. เปิดเผยคะแนนเป็นรายหน่วย เพราะมั่นใจว่าพรรคตัวเองมีคะแนนชนะ หรือบางรายถึงกับมีการร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะเลยทีเดียว ฯลฯ
จากนี้ไป กกต.ก็คงต้องพิจารณาสำนวนไต่สวนต่าง ๆ ที่มีการร้องเข้ามา
หากมีการระงับสิทธิสมัคร มีการเลือกตั้งใหม่ ลำดับบัญชีรายชื่อ ส.ส. ก็จะเปลี่ยนไปด้วย
นี่คือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา
ระหว่างปิดต้นฉบับ (เช้าวันอังคารที่ 26 มีนาคม) 2 พรรคใหญ่ พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อันดับ 1 และ 2 กำลังประกาศช่วงชิงความได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาล สูตรการรวมพรรคเพื่อตั้งรัฐบาลผสมมีออกมาให้คิดคำนวณหลายโมเดล
แต่ก็ดูท่าทีจะไม่จบง่าย ๆ ส่วนเกมจะพลิกมาพลิกไปอย่างไร ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
เผลอ ๆ อาจจะลากยาวจากเดือน หรือมากกว่านั้น
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า จากความไม่แน่นอน ความไม่ชัดเจนที่เป็นอยู่ ยังไม่รู้ว่าพรรคไหนจะจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ หรือหลังจากที่ตั้งรัฐบาลผสมได้แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
รัฐบาลใหม่จะมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน จะอยู่ได้ยาวนานหรือไม่ ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่นักธุรกิจนักลงทุนให้ความสำคัญ
ล่าสุด เท่าที่ได้พูดคุยกับนักธุรกิจ นักลงทุน ที่กำลังพิจารณาโครงการลงทุนใหม่จำนวนหนึ่ง ทุกคนพูดไปในทิศทางเดียวกันว่า ตอนนี้ขอชะลอโครงการไว้ก่อน เพื่อรอดูความชัดเจน
หากสถานการณ์ยิ่งยืดเยื้อมากแค่ไหน ก็จะกระทบกับการลงทุนใหม่ ๆ มากขึ้นเท่านั้น
คงไม่มีใครอยากจะเอาเงินร้อยล้านพันล้านมาแขวนไว้บนเส้นด้าย
ได้แต่ภาวนาว่า ขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ที่ไม่ขยายตัวเป็นวงใหญ่ขึ้น
คลิกอ่านเพิ่มเติม ธุรกิจรุกเสนอวาระรัฐบาลใหม่ เทเงินลงทุน…ชุบชีวิตเศรษฐกิจ