จีนเตรียมรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว

แฟ้มภาพ

คอลัมน์ นอกรอบ โดย ถนอมศรี ฟองอรุณรุ่ง

การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนปีนี้คาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.1-6.2% จากปี 2518 ที่ขยายตัว 6.6% เพราะคาดว่าผลกระทบจากการที่สหรัฐปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน (มูลค่าสินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐ และถูกปรับภาษีขึ้นเท่ากับ 250,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณครึ่งหนึ่งของสินค้าจีนที่ส่งไปสหรัฐ) จะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจ ประกอบกับการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจภายใน ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะได้รับผลจากการชะลอตัวของภาคการผลิต ปัญหาหนี้เสีย และการชะลอตัวของการลงทุน

ในส่วนของความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งเริ่มมีการเจรจากันในเดือนมกราคมนั้น ล่าสุดมีข่าวว่าอาจจะใกล้บรรลุข้อตกลงทางการค้าบางประการ โดยจีนเสนอที่จะปรับลดภาษีนำเข้า และผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการนำเข้าสินค้าเกษตร เคมีภัณฑ์ รถยนต์ และสินค้าอื่น ๆ จากสหรัฐ ขณะที่สหรัฐอาจจะยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าเกือบทั้งหมดที่ได้บังคับใช้กับจีนตั้งแต่ปีที่แล้ว

แต่สหรัฐยังมีข้อเรียกร้องอื่น ๆ นอกจากการค้าที่สำคัญ คือ เรื่องการบังคับให้บริษัทสหรัฐที่ไปลงทุนในจีนต้องถ่ายทอดเทคโนโลยี การคุ้มครองลิขสิทธิ์และสิทธิบัตร การจารกรรมข้อมูล การให้เงินอุดหนุนรัฐวิสาหกิจ และนโยบายเมดอินไชน่า 2025 ซึ่งประเด็นเหล่านี้น่าจะไม่สามารถตกลงกันได้โดยง่าย

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า ทรัมป์เองก็เริ่มอยากให้การเจรจาสำเร็จ โดยเฉพาะต้องการให้จีนนำเข้าสินค้าเกษตร ขณะที่จีนก็มีท่าทียอมรับข้อเสนอดังกล่าวอยู่แล้ว ดังนั้นคงต้องรอดูว่า การพบปะระหว่าง ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง ที่คาดว่าจะมีขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม จะส่งสัญญาณบวก และทำให้ความกังวลเรื่องการตอบโต้ทางการค้าผ่อนคลายลงได้หรือไม่ (หวังว่าคงไม่ลงเอยเหมือนการเจรจาของ ทรัมป์ กับ คิม จองอึน ที่เวียดนาม) หากทรัมป์และสี จิ้นผิง ตกลงที่จะยุติการตอบโต้ทางการค้า ก็จะทำให้ปัจจัยลบประการสำคัญที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกผ่อนคลายลงได้

ส่วนภาวะเศรษฐกิจภายในของจีนนั้นยังมีทิศทางที่ชะลอตัว โดยในภาคอุตสาหกรรมสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (purchasing manager index หรือ PMI) อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (แสดงว่าการผลิตหดตัว) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงการลดบทบาทลงอย่างต่อเนื่องของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเคยเป็นตัวนำในการขยายตัวของจีนตลอดช่วงที่ผ่านมา ด้านการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็ชะลอตัวลงเช่นกัน

โดยในปีที่ผ่านมา ยอดขายรถในจีนหดตัว (-4% จากปีก่อนหน้า) เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ ชาวจีนมีการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและค่าใช้จ่ายในร้านอาหาร 1 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 8.5% ชะลอลงจากปี 2018 ที่ขยายตัว 10.2% และนับเป็นการขยายตัวที่ต่ำที่สุดนับแต่ปี 2005 นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวในประเทศช่วงตรุษจีนก็ขยายตัวต่ำลง คือ ลดลงจาก 12.6% ในปี 2018 เป็น 8.2% ในปีนี้

ขณะที่ตัวเลขภาคการผลิต และการใช้จ่ายของเอกชนชะลอลงต่อเนื่อง การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลเร่งตัวขึ้น รวมทั้งการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลาง โดยการปรับลดการตั้งสำรองของธนาคารพาณิชย์ และให้ธนาคารปล่อยกู้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและเล็กมากขึ้น ซึ่งมีคาดการณ์ว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการกระตุ้นจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง หากเห็นเศรษฐกิจชะลอลงอีก ซึ่งสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวแรง

ล่าสุดการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ในวันที่ 5 มีนาคม รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว และต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายประการ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือ สำหรับเป้าหมายและทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจหลัก ๆ ในปีนี้ ได้แก่

1.เป้าหมายอัตราเติบโตเศรษฐกิจปีนี้ที่ 6-6.5% ลดลงจากเป้าหมายของปีที่แล้วที่ “ประมาณ 6.5 เปอร์เซ็นต์”

2.เพิ่มการขาดดุลการคลังจาก 2.6% ของจีดีพี เป็น 2.8%

3.ลดภาษีบริษัทเอกชนและเงินส่งเข้าประกันสังคม รวม 298,000 ล้านดอลลาร์

4.ปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้าอุตสาหกรรม 3% และสินค้าอื่น ๆ (เช่น เกษตร เคมีภัณฑ์ บริการ) 1%

5.เพิ่มโควตาให้รัฐบาลท้องถิ่นออกพันธบัตรจากเดิม 1.35 ล้านล้านหยวน เป็น 2.15 ล้านล้านหยวนในปีนี้ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

6.สร้างตำแหน่งงานใหม่ในเขตเมือง 11 ล้านตำแหน่งปีนี้ เทียบกับการสร้างตำแหน่งงานใหม่ที่แท้จริงของปีที่แล้ว เท่ากับ 13.6 ล้าน ส่วนเป้าอัตราว่างงานในเขตเมืองจะอยู่ที่ราว 5.5% เทียบกับอัตราที่แท้จริง 5.1% ในปีที่แล้ว

7.ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น เน้นในเรื่องการใช้นโยบายการเงินอย่างเหมาะสม (น่าจะยังมีความกังวลเรื่องฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาหนี้สินของภาคเอกชนและรัฐบาลท้องถิ่น) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะดูแลเรื่องสินเชื่อของธุรกิจขนาดกลางและเล็กอย่างต่อเนื่อง

หากจีนสามารถพยุงเศรษฐกิจตัวเองให้ชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็จะเป็นข่าวดี หากเศรษฐกิจจีนเกิดสะดุดแรง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกน่าจะมีไม่น้อย