ยอดเขาแห่งความโง่

คอลัมน์ ถามมา-ตอบไป

โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

เคยสงสัยไหม ทำไมคนโง่จึงชอบอวดฉลาด…วันนี้มีคำตอบ

เมื่อสัก 2 สัปดาห์ก่อน ผมไปประชุมกับลูกค้า เราคุยกันหลายเรื่อง แต่มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากคือมีคนถามขึ้นมาว่า…เป็นไปได้ไหมที่ คนมักคิดว่าตัวเองเก่งกว่าความเป็นจริง

คำตอบคือ…เป็นไปได้ ที่สำคัญมีทฤษฎี และงานวิจัยรองรับความเชื่อเรื่องนี้ด้วย

แนวคิดนี้รู้จักกันในชื่อ Dunning-Kruger Effect (ลองดูภาพประกอบ)

แกนตั้งเป็นระดับความมั่นใจ (confidence) จากน้อย (low) ไปหามาก (high)

ส่วนแกนนอนเป็นระดับความรู้ เริ่มต้นจากซ้ายมือสุดคือ ไม่รู้อะไรเลย (know-nothing) ขยับไปเป็น รู้และเข้าใจ(wisdom) จนถึงขวาสุดคือ เป็นผู้รู้จริง และมีความเชี่ยวชาญขั้นเทพ (guru)

กราฟเส้นสีน้ำเงินเริ่มต้นที่มุมล่างด้านซ้ายมือคือคนที่ไม่รู้อะไรเลย ความมั่นใจก็จะต่ำมาก ๆ อย่าว่าแต่จะให้พูด หรือแสดงความคิดเห็นเลย แค่ถามยังไม่กล้า เพราะไม่รู้จะถามอะไร แต่พอมีความรู้เพิ่มขึ้นนิด ๆ หน่อย  ๆคนจำนวนไม่น้อยก็เข้าใจว่า…โอ้…อันที่จริง ไม่เห็นยากอย่างที่คิด จึงเกิดความมั่นใจ และเริ่มแสดงภูมิ

ความมั่นใจที่จะอวดรู้นี้ มักพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอวดฉลาดอยู่ จนไปถึงจุดสูงสุดที่เรียกว่ายอดเขาแห่งความโง่ (peak ofmountain stupid) ณ จุดนี้คือจุดที่ผู้คนรอบด้านเริ่มเอือมระอากับพฤติกรรม โง่อวดฉลาด

คำถามที่น่าสนใจคือต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะรู้ตัว และจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองกำลังเดินทางไปสู่ยอดเขาแห่งความโง่อยู่

คำตอบคือไม่รู้ เพราะแต่ละคนใช้เวลาเร็วช้าต่างกันในการตระหนักว่ากำลังอวดฉลาดอยู่ แต่พอสังเกตได้บ้างจากคำกระแนะกระแหนของผู้คนรอบด้าน หรือถ้าเจอคนรู้จริงที่มีเจตนาดีมาช่วยสอนช่วยบอกให้โดยไม่หักหน้า ก็ถือว่าโชคดีไป

เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้ ประสบการณ์และวัยวุฒิที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ตระหนักว่าอันที่จริงสิ่งที่ตัวเอง รู้นั้นน้อยมาก เทียบได้เพียงหางอึ่ง จึงทำให้ความมั่นใจที่จะพูด หรือแสดงภูมิลดลงโดยปริยาย และค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดต่ำสุดที่เรียกว่า หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง (valley of despair)

ในระหว่างที่ความมั่นใจกำลังลดลง ใจก็เปิดมากขึ้น จึงรับฟัง และเรียนรู้เพิ่มเติม เมื่อเวลาผ่านไปสักช่วงหนึ่ง ความรู้ที่เพิ่มขึ้นก็ค่อย ๆ พลิกฟื้นความมั่นใจให้กลับคืนมาทีละเล็กละน้อยคราวนี้การแสดงความคิดเห็น ก็จะตรึกตรอง และใคร่ครวญอย่างรอบคอบก่อน เรียกว่าเก๋าขึ้น ชั่วโมงบินสูงขึ้น จึงสุขุมมากขึ้น

พัฒนาการแบบนี้จะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้รู้จริง (guru) ความมั่นใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างจากคราวก่อนคือ เป็นความมั่นใจที่นอบน้อมถ่อมตน ไม่ได้กร่างเหมือนเมื่อก่อน

เหตุการณ์ทำนองนี้ เคยเกิดขึ้นกับตัวผมเองหลายต่อหลายครั้งในชีวิต ยกตัวอย่างเช่น สมัยก่อนตอนเริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ ไม่มีความรู้อะไรเลย ความมั่นใจก็ไม่มี เป็นเด็กหงิม ๆ หงอ ๆ แต่พอนายมอบหมายให้ทำโครงการใหญ่ ที่ต้องประสานงานกับต่างประเทศ ช่วงแรก ๆ ล้มลุกคลุกคลานพอสมควร แต่ด้วยแรงสนับสนุนจากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี มีคำชมมากมาย ตัวก็เริ่มใหญ่ขึ้น อัตตา (ego) เริ่มทำงาน เวลาไปไหน คุยกับใคร ก็เที่ยวได้สอนได้บอกเขาว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ คล้ายคนมีประสบการณ์มาหลายสิบปี ทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านมาแค่โครงการเดียว

สมัยนั้นเพื่อนฝูงหมั่นไส้ แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าพวกเขาคงอิจฉาที่เรารู้มาก และโตเร็วกว่า โดยไม่รู้หรอกว่ากำลังดำรงตนเป็นคนโง่ที่อวดฉลาดอยู่ เลยทำให้ติดแหง็กอยู่บนยอดเขาแห่งความโง่ซะนาน

เมื่อเวลาผ่านไป ได้ทำงานที่ยากขึ้น แล้วไม่ประสบความสำเร็จเหมือนก่อน ก็เริ่มตระหนักว่าตัวเองไม่ได้เก่งกาจอย่างที่คิด อัตตาค่อย ๆ เล็กลง จนกลายเป็นคนไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง กว่าจะเอาตัวรอดมาได้ ก็แทบแย่เหมือนกัน

ตอนนั้นเสียดายมากที่ยังไม่รู้จัก Dunning-Kruger Effect เลยหลงทางติดกับอยู่นาน วันนี้เห็นคนบางคนที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าความสามารถจริง ก็ได้แต่มองด้วยความสงสาร ถ้าสนิทกันหน่อยก็หาโอกาสกระซิบบอก แต่ถ้าไม่สนิทกันก็ไม่รู้จะทำยังไง

วันนี้เลยเขียนบทความขึ้นมา คิดว่าต่อไปถ้าเจอคนแบบนั้นอีก จะส่งให้เขาอ่าน เพื่อเป็นวิทยาทาน


คุณล่ะอยากส่งต่อให้ใครอ่านบ้างไหม ?