คอลัมน์ สามัญสำนึก
โดย สมปอง แจ่มเกาะ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
หยุดยาวปีใหม่ 5 วัน คงได้พักผ่อนกันตามสมควร
หลายคนคงเลือกที่จะพักผ่อนอยู่บ้านกับครอบครัว บ้างก็กลับไปเยี่ยมพ่อแม่รวมญาติที่บ้านต่างจังหวัด บ้างก็เข้าวัดทำบุญทำทานเพื่อเป็นสิริมงคลรับปีใหม่ เสร็จแล้วอาจจะแวะกินแวะเที่ยวบ้างพอหอมปากหอมคอ
สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อย ส่วนใหญ่คงเน้นจับจ่ายกินเที่ยวอย่างประหยัด เซฟตังค์ในกระเป๋าสตางค์เป็นหลัก
ส่วนคนมีสตุ้งสตางค์เหลือใช้คงหอบลูกจูงหลานนั่งเครื่องบินไปเที่ยวไปเคานต์ดาวน์ที่เมืองนอก ช็อปปิ้งกินเที่ยวอย่างสนุกสนาน
ทำให้ลืมความทุกข์ ปล่อยวางทิ้งปัญหาไว้ชั่วขณะ
หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ฉบับนี้ (2-5 มกราคม 2563) วางแผง ทุกอย่างคงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และกลับสู่ความเป็นจริงของชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกันต่อไป
หลังหยุดยาวกลับมายังมีสารพันปัญหาให้ปวดหัวอีกหลายเรื่อง หนีไม่พ้นปัญหาเศรษฐกิจปากท้องที่ยังรุมเร้าและนับวันก็จะยิ่งหนักขึ้น ๆ
เป็นที่รับรู้กันดี ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามยิงกระสุน (เศรษฐกิจ) ทั้งลูกเล็กลูกใหญ่ โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2562 ที่ผ่านมา ที่เน้นการยิงแบบรัว ๆ แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อให้กระเตื้องขึ้นมาได้ตามที่วาดหวังนัก
กลับมานั่งนับดู ถึงวันนี้ รัฐบาลประยุทธ์ 2 เข้ามาทำงานบริหารประเทศมาเกือบ 6 เดือนแล้ว เป็นการรับไม้ต่อจากรัฐบาลประยุทธ์ 1 ที่บริหารประเทศมา 5 ปี หลังการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อกลางปี 2557 รวมตัวเลขกลม ๆ ประมาณ 6 ปี แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องยังติดหล่มย่ำอยู่กับที่
แต่ล่าสุดสถานการณ์กำลังดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นปรากฏการณ์ภูเขาน้ำแข็งโผล่ขึ้นเหนือน้ำเป็นระยะ ๆ
ไม่ต้องอื่นไกล ที่ผ่านมาสถาบันการเงินหลายแห่งออกมายอมรับว่า ไม่เฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในเกณฑ์สูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังพบว่ามีสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเอ็นพีแอล การผิดนัดชำระหนี้ของทั้งบุคคลธรรมดาและบริษัทห้างร้านต่าง ๆ รวมไปถึงเอสเอ็มอี ที่กำลังอยู่ในภาวะ “ขาขึ้น” อย่างน่าตกใจ
สิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นสัญญาณบอกเหตุและชี้อนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย
จึงมีภาพความเคลื่อนไหวในการเตรียมรับมือ เพื่อ “ตัดไฟแต่ต้นลม” ของสถาบันการเงินออกมาอย่างพร้อมเพรียง
วันนี้ ไปทางไหน คุยกับใคร ต่างก็ส่ายหน้า พ่อค้าแม่ค้า ร้านข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยวรถเข็น ร้านส้มตำริมทาง วินมอเตอร์ไซค์ คนขับแท็กซี่ ไล่เลยไปจนพ่อค้าแม่ค้าที่เช่าพื้นที่ห้างค้าปลีกใหญ่ ฯลฯ ต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าทำมาค้าขายลำบาก และหนักกว่าสมัยวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ราวฟ้ากับดิน
นับวันคนกลุ่มนี้ก็ยิ่งจะอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ และนี่ยังไม่นับรวมไปถึงประชาชนคนชั้นรากหญ้า เกษตรกรชาวไร่ชาวนาที่ลมหายใจรวยรินเข้าไปทุกขณะ
ไม่รู้ว่าคนที่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้างคงไม่ได้ยินเสียงสะท้อนแบบนี้
เท่าที่ได้สัมผัสมา บอกได้คำเดียวว่า เสียงบ่นนี้ยิ่งดังขึ้นทุกวัน ๆ
จึงไม่แปลกใจที่คะแนนนิยมรัฐบาลชุดนี้ลดต่ำลงมาก และลดต่ำลงมากจนถึงขนาดว่า ประชาชนคนทั่วไปเริ่มไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องได้หรือไม่
และไม่ใช่ไม่มั่นใจอย่างเดียว แต่หลายคนเริ่มถามถึงเรื่องของ “ฝีมือ” เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผลงานด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องรัฐบาลยังไม่เป็นที่ประจักษ์นัก
ผลงานเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า รัฐบาลและทีมเศรษฐกิจจะสอบผ่านหรือไม่ มีฝีมือในการบริหารจัดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจริงหรือไม่ !