“อินเดีย” โอกาสใหม่ อุตฯท่องเที่ยวไทย (จริงหรือ)

แฟ้มภาพ

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

โดย ณัฏฐ์พิชญ์ วงษ์สง่า [email protected]

 

จากตัวเลขการขยายตัวอย่างชัดเจนของจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดีย ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายสำนักด้านการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจต่างวิเคราะห์กันว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียนี่แหละ น่าจะเป็น “โอกาส” ใหม่ทางการตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยและจะเข้ามาช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ของภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคต

โดยบางสำนักคาดการณ์ว่า ด้วยจำนวนประชากรที่มีมากกว่า 1,000 ล้านคนของอินเดีย จะเป็น “คำตอบ” ของนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของไทยท่ามกลางภาวะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่คงไม่สามารถเติบโตอย่างหวือหวาได้เหมือนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว

บางสำนักประเมินว่า นักท่องเที่ยวอินเดียมีแนวโน้มจะมาแทนที่นักท่องเที่ยวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใน 10 ปีนี้ โดยคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียที่กำลังขยายตัว และปัจจัยที่เอื้อต่อการเดินทางมายังภูมิภาคนี้

พร้อมทั้งคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวอินเดียเที่ยวไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 10 ล้านคนได้ภายในปี 2030 หรือมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 15% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด จากปัจจุบันที่มีส่วนอยู่ที่ประมาณ 4-5%

ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้หากประเมินจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ แน่นอนว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีการขยายตัวของ GDP อยู่ในระดับ 7-8% มาตลอด จากปี 2008 ที่มีมูลค่า GDP เท่ากับ 35.7 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 81.5 ล้านล้านบาทในปี 2018 ที่ผ่านมา

ขณะที่รัฐบาลอินเดียได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์เมื่อปี 2018 พร้อมตั้งเป้าที่จะทำให้ประเทศมีขนาดเศรษฐกิจถึง 152 ล้านล้านบาท ภายในปี 2030 หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปัจจุบัน และยังคาดการณ์ด้วยว่า จำนวนชนชั้นกลางของอินเดียที่มีอยู่ราว 80 ล้านคนในปี 2018 ที่จะเพิ่มเป็น 580 ล้านคน หรือกว่า 41% ของประชากรทั้งหมด ภายในปี 2025

นั่นหมายความว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียก็มีโอกาสเติบโต จากความมั่งคั่งของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอีกมหาศาลในอนาคต

ทั้งนี้ จากสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียรวม 1.41 ล้านคน เพิ่มเป็น 1.59 ล้านคนในปี 2561 และ 1.98 ล้านคนในปี 2562

และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังได้คาดการณ์ด้วยว่า ในปี 2563 นี้นักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยน่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.2 ล้านคน หรือหากโชคดี ตลาดยังสามารถขยายตัวได้ในอัตราใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ผ่านมา ก็จะพุ่งถึง 2.4 ล้านคน

จากแนวโน้มนี้ ผู้เขียนลองคำนวณเล่น ๆ หากนักท่องเที่ยวสามารถขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 10 ต่อเนื่องในอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีจำนวนที่ราว 5 ล้านคน แต่ถ้าจะให้ถึง 10 ล้านคน ต้องขยายตัวถึงราวปีละ 20%

ถามว่าในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถทำตัวเลขให้ตลาดอินเดียขยายตัวได้สูงมากขนาดนี้ได้จริงหรือไม่

ผู้เชี่ยวชาญตลาดอินเดียรายหนึ่งให้ข้อมูลผู้เขียนว่า ข้อจำกัดที่สำคัญของการทำตลาดอินเดีย คือ จำนวนที่นั่งของสายการบินในเส้นทางเข้า-ออกระหว่างไทยและอินเดียเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของดีมานด์ เนื่องจากประเทศอินเดียมีเรื่องของข้อตกลงในการดำเนินการด้านการเดินอากาศระหว่างประเทศ หรือสิทธิการบินระหว่างประเทศไทยและอินเดีย ที่อินเดียยังจำกัดอย่างเข้มงวด

นั่นหมายความว่า แม้ว่าผู้ประกอบการทางประเทศไทยจะมองเห็นดีมานด์มามากขนาดไหน แต่ถ้าอินเดียยังไม่จัดสรรสิทธิการบินไทย-อินเดียเพิ่ม สายการบินต่าง ๆ ของไทยก็ไม่สามารถเพิ่มความถี่ หรือเพิ่มเส้นทางบินใหม่ ๆ ได้ จะมียกเว้นบ้างในเมืองที่เป็นเมืองเท่านั้นที่ซึ่งอินเดียไม่ได้จำกัดสิทธิด้านการบิน

กฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) บอกว่า ปัจจุบันมีสายการบินให้บริการระหว่างไทย-อินเดียรวม 10 สายการบิน จาก 13 เมืองในอินเดีย มีปริมาณที่นั่งรวมประมาณ 65,182 ที่นั่งต่อสัปดาห์

และยังบอกด้วยว่า ตอนนี้ปัญหาของเรา คือ มีดีมานด์ในตลาด แต่จำนวนที่นั่งของสายการบินรองรับยังไม่เพียงพอ ซึ่งหากดูจากอัตราการบรรทุกผู้โดยสารในแต่ละเที่ยวของสายการบินของไทย เส้นทางเข้าอินเดียนั้นจะพบว่าแน่นมาก

ดังนั้น สิ่งที่ทางผู้ประกอบการทางฝั่งไทยทำได้ คือ ต้องพยายามคุยกับสายการบินในฝั่งอินเดีย ให้เพิ่มเส้นทางบินเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยบวกดังกล่าว แน่นอนว่า “อินเดีย” นั้นถือเป็นโอกาสใหม่ทางการตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยแน่นอน แต่ถ้าประเมินเรื่อง “ข้อจำกัด” เนื่องสิทธิการบินที่มีอยู่ “อินเดีย” อาจจะไม่ได้เติบโตอย่างหวือหวาตามที่หลายสำนักคาดการณ์

ดังนั้น สำหรับตลาดอินเดียแล้วผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนตัดสินใจลงทุนรองรับ และทางที่ดีลองศึกษาบทเรียนจาก “ตลาดจีน” ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาด้วย