วัดดวงเศรษฐกิจไทย

คอลัมน์สามัญสำนึก

พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์

 

เรื่องที่เคยร้อน ๆ อย่างภัยแล้ง น้ำในเขื่อน ภาพของแม่น้ำสายสำคัญ ๆ แห้งขอด กระทั่งปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพโดยตรง หลุดจากวงจรข่าวแทบทันทีเมื่อจีนยืนยันว่า ไวรัส “อู่ฮั่น” สามารถแพร่ระบาดจากคนสู่คน กระทั่งประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ต้องประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น ยุติการเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ของคนจีนสู่ประเทศต่าง ๆ  เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาด ผลกระทบของ “อู่ฮั่น” ฟาดหางสู่ประเทศไทยเต็ม ๆ

ล่าสุดองค์การอนามัยโลก หรือ WHO เป็นภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขระหว่างประเทศไปแล้ว นาทีนี้ ยังไง ๆ เราคงหนีผลกระทบไปไม่พ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่จะมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

บทวิเคราะห์ของเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) รายงานอย่างน่าสนใจว่า ช่วงที่หัวจักรตัวอื่น ทั้งการ
ส่งออกและการลงทุนชะลอตัวลง บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่าย และสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยปีละเกือบ 2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 12% ของ GDP

จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีที่ผ่านมา 39.8 ล้านคน เป็นชาวจีนถึง 11 ล้านคน 1 ใน 4 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด

เป็นภาพที่ทุกคนสัมผัสได้ ศูนย์การค้าใหญ่ ๆ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ทั่วประเทศอัดแน่นด้วยคนจีน การเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของนักท่องเที่ยวจีนทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์

เฉพาะเมื่อปีที่แล้วไทยเรามีรายได้นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่มหาศาลถึง 5.4 แสนล้านบาท หรือราว 28% ของรายได้ที่มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 1.9 ล้านล้านบาท

KKP Research ระบุอีกว่า นักท่องเที่ยวชาวจีน 1 คน จะมีค่าใช้จ่ายในประเทศไทยเฉลี่ย 49,600 บาทต่อคน ค่าโรงแรม ค่าเดินทางท่องเที่ยว อาหาร บริการ รวมไปถึงของฝากต่าง ๆ โดยที่ peak season จะมีอยู่ 2 ช่วง คือ มกราคม-กุมภาพันธ์ คาบเกี่ยวระหว่างปีใหม่และตรุษจีน

อีกช่วงหนึ่ง คือ โกลเด้นวีก เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมของทุกปี

KKP Research ได้นำผลกระทบที่เราเคยได้รับเมื่อครั้งการระบาดของโรคซาร์สเมื่อ 17 ปีก่อนมาเป็นตัวตั้งในการวิเคราะห์ ซึ่งครั้งนั้นผลกระทบจากโรคซาร์สมีผลต่อเนื่องถึง 9 เดือน นักท่องเที่ยวหายไปถึง 7 แสนคนก่อนจะกลับมาฟื้นตัว

จากสมมุติฐานครั้งโรคซาร์ส KKP Research เทียบเคียงว่า

…การระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศในปีนี้ลดลงถึง 2.8 ล้านคน ส่งผลถึงรายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 1.4 แสนล้านบาท ฉุด GDP ของประเทศไทยในปีนี้ลงอย่างน้อย 0.3%

หรือกรณีที่เลวร้ายกว่า จำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสลดลงถึง 4 ล้านคน น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะคนทำธุรกิจ ทำมาค้าขายที่รับรู้ถึงความเหนื่อยยากในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จากผลกระทบสงครามการค้า ปัญหาค่าเงินบาท

ข้ามปีใหม่ไม่ทันไรเราต้องเจอกับภัยแล้งเข้าขั้นสาหัส ส่งผลถึงผลผลิตการเกษตร ตามมาติด ๆ คือ งบประมาณปี 2563 ที่กำลังชัตดาวน์นิ่งสนิท

เรายังเจอหมัดน็อกจากไวรัสอู่ฮั่นซ้ำอีกดอก

ที่จะเป็นปัญหาตามมาอย่างแน่นอน คือ มู้ดการจับจ่ายที่เดิมไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ต้องมาโดนซ้ำรัว ๆ

เรื่องแบบนี้คนค้าขายล้วนรู้ดี ถ้าผู้บริโภคเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจถึงอนาคตขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่แน่ใจว่าเงินเดือนจะขึ้นหรือไม่ ไม่แน่ใจว่าจะได้โบนัสหรือเปล่า หนักกว่านั้นคือเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน

หากมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้น ผลกระทบจะยาวนานมาก กว่ามู้ดการใช้จ่ายจะฟื้นกลับมา คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ

งานนี้ใครสายป่านไม่ยาวพอ เหนื่อยหนักแน่นอน