หนีห่าว…ไฮสปีดเทรน นั่งชิล 6 ชม.ปักกิ่ง-หางโจว

คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ

โดย ขุนพินิจ

ระทึกใจไม่น้อยกับทริปการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในแดนมังกรเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพราะกว่าวีซ่าจะผ่านก็ถึงนาทีสุดท้ายแล้ว ช่วงนี้จีนสกรีนเข้มมาก

หลังจากเสร็จภารกิจที่กรุงปักกิ่งแล้ว เจ้าภาพผู้จัดงานเห็นว่าตอนนี้เมืองไทยกำลังจะมีอภิโปรเจ็กต์ไฮสปีดเทรน หรือรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจีนกำลังจะเป็นผู้ก่อสร้างโครงการนี้ในเส้นทางแรกกรุงเทพฯ-นครราชสีมา

จึงได้เลือกที่จะให้คณะของเรากรุ๊ปเล็ก ๆ ได้ลองนั่งไฮสปีดเทรนดูบ้าง ระหว่างเส้นทางกรุงปักกิ่ง-เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งหางโจวเป็นเมืองบ้านเกิดของมหาเศรษฐีโลก “แจ็ก หม่า” เจ้าของอาลีบาบานั่นเอง

อีกเหตุผลก็คือ ไฮสปีดเทรนตรงเวลาเป๊ะ การนัดหมายข้างหน้าจะได้ไม่พลาด ซึ่งต่างจากการเดินทางด้วยเครื่องบินในเมืองจีน ที่จะดีเลย์ตลอด

แม้จะเผื่อเวลาไปยังสถานีปักกิ่งแล้ว แต่ก็ลุ้นเพราะสภาพการจราจรติดขัดพอ ๆ กับบ้านเรา เมืองปักกิ่งเจริญเติบโตมากเมื่อเทียบกับทศวรรษก่อนที่เคยมาเยือน

พอไปถึงสถานีรถไฟก็ต้องบอกว่า…โอ้โห โอ่โถงใหญ่โตอลังการเช่นนี้ ผู้คนล้นหลามขวักไขว่มาก แต่การวางระบบให้ผู้โดยสารเข้า-ออกก็ไหลลื่นดี

ถ้าใครหิวก็มีร้านค้า ร้านอาหาร-ของฝากให้ชิม-ช้อป รวมถึงร้านกาแฟสตาร์บัคส์ เคเอฟซีก็ยึดทำเลทอง มีลูกค้าต่อคิวไม่ขาดสาย สำหรับเส้นทางปักกิ่ง-หางโจว ระยะทางราว 1,300 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง ราคาตั๋วชั้นธรรมดา 538.5 หยวน (1 หยวน ประมาณ 5 บาทกว่า) หรือราว 2,700 บาท/คน ส่วนชั้นหนึ่งราคา 1,701 หยวน หรือ 8,500 บาท

ขบวนรถไฟตู้ไฮโซสุดหรือชั้น 1 เก้าอี้จะทันสมัยคล้ายเฟิรสต์คลาสบนเครื่องบินสามารถปรับเก้าอี้ได้หลายระดับ กระทั่งนอนราบได้ มีปลั๊กไฟให้ชาร์จมือถือ มีบานพับเก้าอี้ สามารถนั่งทำงานได้สบาย ๆ มีพนักงานสาวคอยบริการเสิร์ฟน้ำ อาหาร ส่วนชั้น 2 เป็นเก้าอี้ธรรมดาแต่ก็สะดวกสบาย สามารถเดินทะลุกันไปมาได้ มีตู้เสบียงพร้อมสรรพ

ในช่วงที่รถไฟวิ่งเร็วนั้น ทำความเร็วได้สูงกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ก็รู้สึกได้ว่าหนึบ-นิ่ง ไม่สั่นโคลงเคลง ไม่เวียนหัว สามารถลุกเดินได้ปกติเหมือนอยู่บนเครื่องบิน

ตอนแรกก็หวั่นใจเล็ก ๆ ว่า จะทำอะไรบนรถไฟตั้ง 6 ชั่วโมง แต่ความตั้งใจก็คือ จะหลับให้น้อยที่สุด เพราะจะดูวิวทิวทัศน์ และถ่ายภาพบ้านเมืองของจีนตลอดรายทางว่าเป็นยังไง

ทุกจุดที่จอดรับ-ส่งผู้โดยสาร ล้วนแต่เป็นสถานีที่มีขนาดใหญ่มาตรฐาน พร้อมกับมีการพัฒนาเมืองใหม่ มีที่พักอาศัย อาคารสูงใหญ่ระฟ้าทั้งสิ้น นั่นคือมีการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยรอบสถานี ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจมหาศาลนั่นเอง

ฉะนั้น จึงมีกระแสข่าวว่านอกจากจีนจะเป็นผู้สร้างทางรถไฟให้เมืองไทยแล้ว ยังขอพ่วงด้วยการพัฒนาที่ดินสองข้างทางด้วย ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ

ส่วนสภาพสองข้างทางที่มุ่งหน้าไปสู่เมืองหางโจวนั้น ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสลับภูเขาที่ไม่สูงชันมาก จึงมีการเพาะปลูกพืชผักแปลงใหญ่ตลอดเส้นทาง และในอีกหลายเมืองก็มีการขนส่งสินค้าทางน้ำในแม่น้ำขนาดใหญ่มาก

ตลอด 6 ชั่วโมงบนไฮสปีดเทรน จึงชิล ๆ ได้ชมวิวสองข้างทางเต็มอิ่ม

ส่วนเส้นทางจากหางโจว-นครเซี่ยงไฮ้ ระยะทาง 170 กิโลเมตร ราคาตั๋วชั้นธรรมดา 77.5 หยวน ใช้เวลาจิ๊บ ๆ เพียง 1 ชั่วโมง แต่คณะของเราก็ตกรถไฟจนได้ เพราะโชเฟอร์รถบัสหลงทางเข้าสถานีรถไฟ ทำให้เสียเวลาต้องรอขบวนใหม่ที่มีที่นั่งว่างไปอีก 3 ชั่วโมง

เรียกได้ว่า ระบบโลจิสติกส์ของจีนพัฒนาไปไกลมาก ทันสมัย สะดวกรวดเร็ว ตรงเวลา เป็นการลงทุนพัฒนาที่มองการณ์ไกลจริง ๆ เพื่อรองรับการขนสินค้า และขนคนในประเทศ ที่มีจำนวนประชากรกว่า 1,300 ล้านคน

หากเมืองไทยจะมีไฮสปีดเทรน สิ่งสำคัญยิ่งคือ เราจะต้องเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในด้านบวกหรือลบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และต้องใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่ากับเงินลงทุนนับแสนล้านบาท

ที่แน่ ๆ ต้องฝึกเป็นคนตรงเวลา ไม่งั้นตกรถไฟ !!!!