คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ อมร พวงงาม
ปี 2563 ต้องบอกว่า เป็นปีที่อุตสาหกรรมรถยนต์มีเรื่องวุ่นวาย ชวนปวดหัวเยอะมาก
เปิดศักราชมาได้ไม่กี่วันก็มีเรื่องให้ช็อกวงการ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- กีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เสียชีวิต อายุ 56 ปี
“แอนดี้ ดันสแตน” ประธานกรรมการตลาดเชิงกลยุทธ์ พันธมิตรและผู้แทนจำหน่าย จีเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล โอเปอเรชั่นส์
ประกาศว่า จีเอ็มตัดสินใจถอนเชฟโรเลต ออกจากตลาดรถยนต์ประเทศไทย
โดยจะขายศูนย์การผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์ของจีเอ็ม ประเทศไทย ในจังหวัดระยอง
ให้กับ “เกรต วอล มอเตอร์ส” ยักษ์ใหญ่อุตฯรถยนต์จากจีน โดยทั้งสองบริษัทคาดว่าการซื้อขายและส่งมอบศูนย์การผลิตให้กันแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
เรื่องนี้ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับลูกค้า เชฟโรเลตและดีลเลอร์ไม่ใช่น้อย
ถัดมาไม่กี่วัน การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่อุบัติขึ้นในประเทศจีนก็เริ่มส่งผลกระทบถึงกระบวนการผลิตรถยนต์ในบ้านเรา
แม้ว่ารถยนต์ที่ประกอบในประเทศไทย 80-90% จะใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ
แต่การชัตดาวน์ธุรกิจในจีน ก็ทำให้ชิ้นส่วนบางรายการที่ต้องซัพพลายจากจีนสะดุดเกือบทั้งหมด
พอย่างเข้าเดือนมีนาคม การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศไทย
ก็ส่งผลต่อภาวะการขายรถยนต์ในประเทศ แต่ละแบรนด์ขายได้น้อยลง
สต๊อกเริ่มบวมขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งมาเจอนโยบายหยุดเชื้อเพื่อชาติ ให้ทุกคนอยู่บ้าน ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปิดพื้นที่เสี่ยง
กำลังซื้อที่พอมีอยู่ประปราย เริ่ม “นิ่งสนิท” แม้จะได้ผลดีด้านสาธารณสุข
แต่ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนัก
อุตสาหกรรมรถยนต์ตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี
เราไม่เคยเห็นมาก่อน ค่ายรถจะยอมยกธงขาว ปิดโรงงานหนีโควิด-19 กันยาวนานแบบนี้
เรียกว่าปิดยาวกันเป็นเดือน ๆ
ครั้นพอธุรกิจเริ่มกลับมารีสตาร์ต ข่าวเรื่องการปลดคนในอุตสาหกรรมรถยนต์-ชิ้นส่วนก็หนาหูขึ้นเรื่อย ๆ
หลายโรงงานอ้างสาเหตุการทำงานในรูปแบบนิวนอร์มอล
เพิ่มระยะห่างทางสังคม โละคนหันใช้โรบอตแทน
หลายบริษัทนำร่องเปิดโครงการสมัครใจลาออก
บางบริษัทเปิดแพ็กเกจเอื้อพนักงานอยากเปลี่ยนอาชีพ
โดนกันถ้วนหน้าทั้ง “ซับคอนแทร็กต์” และลูกจ้างประจำ
ส่วนข่าวล่าสุดที่ช็อกวงการอีกชิ้น เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“เมอร์เซเดส-เบนซ์” ยุติทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100%
เรื่องนี้เข้าใจไม่ยาก ค่ายรถยนต์บอกมาตลอด
ถ้าต้องการทำตลาดรถอีวี ควรเริ่มต้นจากการสร้างดีมานด์ให้เกิดขึ้นก่อน
แล้วการลงทุนจึงจะตามมา
ซึ่ง “เบนซ์” ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะนำร่องด้วยการนำเข้ามาขายก่อน
แต่โควตาที่รัฐบาลไทยให้ “จิ๊บจ๊อย” เกินไป ต้องไม่ลืมว่าการทำตลาดรถอีวี
ต้องมีการสร้างเน็ตเวิร์ก สร้างโครงข่ายสาธารณูปโภค สถานีชาร์จและอื่น ๆ รองรับ
วอลุ่มที่รัฐบาลกำหนดให้แค่ 50 คัน เอาไปขายก่อนขึ้นไลน์ผลิตจริง
ฝรั่งไม่แฮปปี้แน่ ๆ ดีลเลอร์เบนซ์ตอนนี้มีราว ๆ 40 ราย
แบ่ง ๆ กันไปดีลเลอร์ละคันสองคัน…คงดูไม่จืด
ดังนั้น โอกาสที่ลูกค้าคนไทยจะได้ใช้รถอีวีจากค่ายดาวสามแฉก “ริบหรี่” เต็มทน
วันก่อนปะหน้า “คุณบีเยิร์น กุชเทรา” รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยอมรับว่า จำเป็นต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
เขาระบุว่า โควตานำเข้ามาก่อนช่วงแรกมีผลต่อการตัดสินใจ แต่ที่กระทบหลัก ๆ คงเป็นเรื่อง “โควิด-19”
ส่วนเงื่อนไขบีโอไอที่มีกรอบเวลา ถ้าไม่ทำตามกำหนดหรือล่าช้า อาจจะถูกเรียกคืนบัตรส่งเสริมการลงทุน
เขายืนยันว่า จริง ๆ แล้วคนที่ช้าน่าจะเป็นบีโอไอมากกว่า
และย้ำว่า ไม่มีนโยบายนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมาขายแน่นอน
เพราะเบนซ์ลงทุนโรงงานแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออน ร่วมกับพันธมิตรธนบุรีประกอบรถยนต์ในไทยไปแล้วกว่า 1 พันล้านยูโร
ถือเป็น 1 ใน 4 โรงงานแบตเตอรี่ทั่วโลกทั้งเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และจีน
นอกจากจะป้อนกลุ่มรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่ผลิตในประเทศไทยแล้ว
ยังซัพพลายไปทั่วโลกด้วย
- “เบนซ์” เล็งทิ้งบัตรส่งเสริมอีวี ย้ำชัดเกิดยากลุยหนัก “ปลั๊ก-อินไฮบริด”
- ค่ายรถอัดโปรเรียกยอดคืน ลุ้นมอเตอร์โชว์ฟื้นกำลังซื้อ