Climate Change สัญญาณเตือนผลกระทบโควิด-19

คอลัมน์ร่วมด้วยช่่วยกัน
ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์ ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธปท.

แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มดีขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ แต่ยังคงวางใจต่อการกลับมาของการแพร่ระบาดซ้ำรอบ 2 ไม่ได้ ดังเช่นในกรุงปักกิ่งของจีนที่กลับมาพบผู้ติดเชื้อใหม่ หลังจากที่ไม่ได้พบมานานเกือบ 2 เดือน หรือในประเทศนิวซีแลนด์ที่เพิ่งพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ หลังจากประกาศว่าประเทศปลอดจากโควิด-19 ไปได้ไม่นาน ทั้ง 2 ประเทศที่มีการจัดการกับการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดียังพบการกลับมาของโควิด-19 จึงมีทีท่าว่าวิกฤตโควิด-19 ที่ทั้งโลกกำลังเผชิญอยู่นี้คงไม่น่าจะจบลงได้ง่าย ๆ

อย่างที่ทุกคนทราบดี โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทั่วทุกมุมโลก การล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศสำคัญ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก จำนวนผู้ว่างงานเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ไม่เว้นแม้แต่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ทุกท่านคงนึกไม่ถึงว่า นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่แต่ในบ้านมากขึ้น ทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA (International Energy Agency) ประเมินว่า ในปีนี้ความต้องการใช้พลังงานของทั้งโลกจะหดตัวถึง 6% กับทิศทางแนวโน้มการขยายตัวของการใช้พลังงานที่ดำเนินต่อเนื่องมาตลอด 5 ปี และถือเป็นการหดตัวที่สูงสุดในรอบ 70 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อนจะลดลงต่ำสุด ทุบสถิติกว่าที่เคยเกิดขึ้นในทุกวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา

บทความในวันนี้จึงขอเชิญชวนทุกท่านเปลี่ยนโหมดความคิดจากผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจ ไปสู่การแลกเปลี่ยนมุมมองทางด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ก่อนที่จะชวนคิดถึงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่จะสามารถรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน

ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษที่คาดว่าจะลดลงอย่างมากเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ สืบเนื่องจากผลการล็อกดาวน์ในหลายประเทศสำคัญทางเศรษฐกิจทั่วโลก อาทิ เมืองอู่ฮั่นในจีน เมืองมิลานของประเทศอิตาลี กรุงโซลในประเทศเกาหลีใต้ หรืออินเดียที่ครองอันดับหนึ่งในฐานะประเทศที่มีจำนวนเมืองมีมลพิษมากที่สุดของโลก มลพิษที่ลดลงมากในช่วงล็อกดาวน์ส่งผลชัดเจนจนสามารถมองเห็นยอดเขาหิมาลัยจากระยะทาง 200 กิโลเมตร ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี

ส่วนประเทศไทยนั้นในช่วงมาตรการล็อกดาวน์กลางเดือน มี.ค.ถึงปลาย เม.ย. กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้ว่า ค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน และลดลงไปกว่า 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งปกติแล้วในช่วงเดือน ธ.ค.-มี.ค.ของทุกปีย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2554 ค่าเฉลี่ยฝุ่นพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯ เกินค่ามาตรฐานมาโดยตลอด และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย

หลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค ส่วนสำคัญที่ทำให้สภาพอากาศดีขึ้นนั้นเกิดจากการเดินทางที่ลดลงอย่างมีนัยทั้งทางบกและอากาศ IEA ระบุว่า การขนส่งทางถนนลดลงถึง 50-75% ในเมืองที่มีการล็อกดาวน์ โดยช่วงสิ้นเดือน มี.ค. กิจกรรมขนส่งทางถนนทั่วโลกลดลงไปถึง 50% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน

เช่นเดียวกับการจราจรทางอากาศที่สายการบินทั่วโลกพร้อมใจลดเที่ยวบินลง จากรายงานของ EUROCONTROL ซึ่งเป็นหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศให้กลุ่มประเทศยุโรป ยุโรปได้ลดเที่ยวบินลงราว 80% ตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มี.ค. และยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน ถนนในเมืองใหญ่ที่แทบจะไม่มีรถสัญจรไปมา หรือเครื่องบินที่จอดนิ่งเรียงรายบนรันเวย์ คงเป็นภาพที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง หากไม่มีสถานการณ์โรคระบาดที่รุนแรงเฉกเช่นครั้งนี้

เมื่อลองเปิดใจมองในหลายมุม คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการล็อกดาวน์นั้นถือเป็นต้นทุนที่สูงยิ่งในการแลกมาด้วยสภาพอากาศและภาวะโลกร้อนที่ปรับดีขึ้น หลายท่านได้ออกมาเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมที่แท้จริง ควรเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตและการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบในระยะยาวเท่านั้น หาใช่การเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวในระยะเวลาการล็อกดาวน์ก่อนจะกลับสู่การใช้ชีวิตด้วยพฤติกรรมในรูปแบบเดิม

นอกจากนี้ เมื่อเราอยู่บ้านมากขึ้น พฤติกรรมการสั่งซื้ออาหารและสิ่งอุปโภคบริโภคผ่านทางออนไลน์ ส่งผลให้ปริมาณขยะโดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ลดลงไปจากการรณรงค์และการห้ามใช้ในช่วงก่อนหน้ากลับมามีปริมาณเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ดี มุมที่เป็นด้านบวกคงกล่าวได้ว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดเป็นสิ่งดีที่เกิดขึ้นแล้ว ที่มีต่อธรรมชาติและสภาพอากาศ แม้จะเป็นเพียงแค่ชั่วระยะเวลาหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้ยั่งยืน และต้นเหตุมาจากไวรัสที่ส่งผลร้ายต่อชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจอย่างประเมินไม่ได้

หากแต่ในมุมมองด้านบวกยังทำให้เราเห็นทางออกของการลดภาวะโลกร้อน จากการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้การกำหนดนโยบายของภาครัฐ และที่ขาดไม่ได้คือความร่วมมือของประชาชนและภาครัฐจากนานาประเทศทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ทุกประเทศพร้อมใจกันปรับพฤติกรรมไปในรูปแบบเดียวกันเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19

อาจจะเริ่มง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานมาทำงานที่บ้านมากขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลง เพื่อช่วยลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ซึ่งแม้พนักงานจะทำงานที่บ้าน แต่งานที่ได้อาจไม่ด้อยลง ซ้ำยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยในบางกรณี หรือปรับเปลี่ยนการใช้วัสดุจากธรรมชาติมากขึ้นในการบรรจุภัณฑ์หีบห่อต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงได้ แม้จะยังคงสั่งอาหารหรือของใช้ทางออนไลน์มากขึ้นก็ตาม

ส่วนภาครัฐเองก็มีหน้าที่ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม้จะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มทุนสำหรับเอกชนแต่ละราย แต่ในภาพรวมแล้วมีความจำเป็นกับสังคมอย่างยิ่งยวด ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวอาจช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพได้อีกเป็นจำนวนมาก รองรับผู้ว่างงานในปัจจุบัน และยังสร้างรากฐานในการรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อีกด้วย

จึงเป็นความท้าทายของประชาชนและภาครัฐทั่วโลกที่จะต้องร่วมมือกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เรายังมีโลกที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้ พร้อม ๆ กับการเติบโตอย่างเต็มศักยภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

หมายเหตุ:บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย