ความท้าทายภาคท่องเที่ยว พฤติกรรมนักเที่ยวไทย New Normal

ท่องเที่ยวกาญจนบุรี
คอลัมน์ ช่วยกันคิด
โดย กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ Krungthai COMPASS

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้ของธุรกิจท่องเที่ยวหดตัวอย่างมาก เนื่องจากการเดินทางไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศที่ต่างหยุดชะงัก ในปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเหลือเพียง 6.8 ล้านคน จากที่เคยมีถึง 39.8 ล้านคนในปี 2019 ส่วนในปีหน้ารายได้ท่องเที่ยวก็ยังฟื้นตัวได้ไม่มากนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้อย่างสะดวก

ในช่วงที่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยไม่สามารถพึ่งพิงรายได้จากต่างชาติได้อย่างเคย การหันมาให้ความสนใจกับตลาดท่องเที่ยวในประเทศจึงสำคัญมากขึ้น บทความนี้จะวิเคราะห์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างไรต่อภาคท่องเที่ยวในปีหน้า ? พฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไรใน new normal ? และหากไทยต้องเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติพยุงเศรษฐกิจมากขึ้น มีแนวทางใดน่าสนใจบ้าง ?

ปี 2021 การท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวได้มากหรือไม่ ?

Krungthai COMPASS ประเมินว่ารายได้ท่องเที่ยวในปีหน้ายังฟื้นตัวได้ไม่มาก ในขณะนี้แม้ยังไม่มีความแน่นอนเรื่องวัคซีน แต่หลายฝ่ายได้ประเมินว่าวัคซีนน่าจะถูกค้นพบช่วงปลายปี 2020 ถึงต้นปี 2021 แต่ถึงวัคซีนจะถูกค้นพบแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะถูกแก้ไขในทันที

เนื่องจากผู้ที่ได้รับวัคซีนยังอาจติดเชื้อไวรัสและเป็นพาหะได้อยู่ นอกจากนี้ วัคซีนอาจถูกผลิตได้ในปริมาณจำกัดช่วง 3-6 เดือนแรก ทำให้การแจกจ่ายยังทำได้ไม่ทั่วถึง McKinsey วิเคราะห์ว่า กว่าวัคซีนจะแจกจ่ายและผู้คนได้รับอย่างแพร่หลายอาจเป็นปลายปี 2021

ด้วยปัจจัยดังกล่าวทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาไทยได้ปีหน้าขึ้นอยู่กับว่าไทยจะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติรูปแบบใดซึ่งประเมินว่า กรณีฐานที่ไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างระมัดระวัง ช่วงครึ่งปีแรก รับเพียงวันละ 2-3 พันคน และเปิดรับเพิ่มช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้รับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 7.6 ล้านคน

อย่างไรก็ดี หากเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบระมัดระวังตลอดทั้งปี เพียงวันละ 2-3 พันคนจนกว่าคนไทยจะได้ฉีดวัคซีนทั่วถึง จะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าเพียง 9 แสนคนเท่านั้น

ดังนั้น ปัจจัยที่ช่วยพยุงภาคการท่องเที่ยวของไทยในปีหน้า คือ การท่องเที่ยวของคนในประเทศที่น่าจะฟื้นตัวได้ถึง 50% มาอยู่ที่ระดับ 151 ล้านคน-ครั้ง น้อยกว่าปี 2019 ที่ 166 ล้านคน-ครั้งไม่มากนัก เนื่องจากไทยควบคุมการระบาดในประเทศได้ดี ทำให้ไม่น่าจะมีการปิดเมืองอีกในปีหน้า

นอกจากนี้ การท่องเที่ยวไทยยังได้อานิสงส์จากกลุ่มคนไทยที่เคยเที่ยวนอกที่น่าจะกลับมาเที่ยวไทยแทน ช่วงก่อนโควิดคนไทยเที่ยวเมืองนอกกว่า 12 ล้านทริป ซึ่งกลุ่นี้อาจเที่ยวไทยได้ถึง 14 ล้านทริปในปีหน้า เนื่องจากสามารถเที่ยวได้บ่อยกว่าและใช้วันน้อยกว่า

อย่างไรก็ดี การที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งเคยเป็นรายได้หลักของการท่องเที่ยวไทยยังไม่ฟื้นตัว ทำให้รายได้ท่องเที่ยวในปีหน้าโดยรวมอยู่ที่เพียง 1.24 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าในปี 2019 ที่เคยมีถึง 3.02 ล้านล้านบาท โดยรายได้ของนักท่องเที่ยวไทยจะกลายเป็นแหล่งรายได้หลัก จากที่เคยมีสัดส่วนเพียง 36% จะเพิ่มเป็น 70% ในปีหน้า

นอกจากสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวไทยที่เพิ่มขึ้นแล้ว พฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยก็จะเปลี่ยนไปใน new normal ด้วยเช่นกัน

พฤติกรรมท่องเที่ยวของคนไทยจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรใน new normal ?

ใน new normal พฤติกรรมการท่องเที่ยวของคนไทยเปลี่ยนไปอย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน ได้แก่

1) เลือกเที่ยวในประเทศก่อน ถึงจะไม่มีผลสำรวจในไทยโดยตรง แต่ผลการสำรวจจากต่างประเทศก็พอทำให้เราคาดการณ์พฤติกรรมของคนไทยได้

ผลสำรวจของ McKinsey ต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเดือนพฤษภาคม 2020 ถามว่า ในการท่องเที่ยวครั้งถัดไปคิดว่าจะท่องเที่ยวหรือไม่และในที่ที่ไกลเพียงใด ปรากฏว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 55% คิดว่าจะเที่ยวในประเทศก่อน ซึ่งอาจมาจากทั้งเหตุผลเรื่องเศรษฐกิจ และเรื่องความเสี่ยงติดเชื้อโควิดจากการไปเที่ยวต่างประเทศ

2) เลือกเที่ยวใกล้ ๆ สั้น ๆ ขับรถไป ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและการรักษาระยะห่างทางสังคม โดยขับรถไปเที่ยวก็มักไปในระยะทางไม่ไกลนัก เช่นกรณีของจีน ผลสำรวจพบว่าระยะทางที่คนอยากไปเที่ยวมากที่สุดอยู่ในระยะการขับรถที่มากกว่า 3 ชั่วโมง

เช่นเดียวกับกรณีของสหรัฐที่แบบสำรวจจาก US travel association พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 60% ของผู้ที่จะขับรถไปเที่ยว เลือกขับรถในรัศมีไม่เกิน 300 ไมล์ หรือ 483 กิโลเมตร ซึ่งอัตราการเข้าพัก (OR) ของไทยเดือนกรกฎาคม ก็แสดงให้เห็นว่าจังหวัดที่ค่า OR กลับมาสูงกว่า 50% ส่วนใหญ่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มีนักท่องเที่ยวกำลังซื้อสูงจำนวนมาก เช่น เพชรบุรี และกาญจนบุรี

3) เลือกเที่ยวสถานที่ unseen เช่น แหล่งท่องเที่ยวมหัศจรรย์และธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวผจญภัย แหล่งท่องเที่ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แหล่งท่องเที่ยวประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตซึ่งคนไม่พลุกพล่าน ทำให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อ ผลสำรวจจาก McKinsey ที่สอบถามนักท่องเที่ยวชาวจีนก็พบว่า 44% ต้องการจะเที่ยวแหล่งทิวทัศน์กลางแจ้งมากที่สุด ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวประเภทช็อปปิ้งซึ่งเคยเป็นที่นิยมกลายเป็นที่ที่ต้องการไปเที่ยวน้อยที่สุด

เมื่อคนไทยมีแนวโน้มจะไปเที่ยวที่ unseen หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับ

หากต้องการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีแนวทางใดน่าสนใจบ้าง ?

ในขณะนี้ก็มีหลายแนวทางที่น่าสนใจ อย่างเช่น การเลือกเปิด travel bubble กับกลุ่มประเทศแถบเอเชียที่มีอัตราผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำอย่าง จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เวียดนาม ไต้หวัน ซึ่งนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มนี้มีสัดส่วนถึงประมาณ 50% ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าไทยในปี 2019

หรือการเลือกเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวเพียงบางพื้นที่ ซึ่งมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก มีพื้นที่ปิด สามารถควบคุมการระบาดได้สะดวก อย่างเช่น การเปิดภูเก็ต และสมุย โดยช่วงก่อนโควิดมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวถึง 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวที่มาไทยทั้งหมด ซึ่งภูเก็ตโมเดลก็เป็นเรื่องที่ต้องจับตา

นอกจากนี้แล้ว การเลือกรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม อย่างเช่น การเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม medical ที่มารักษาตัวหรือทำศัลยกรรม ซึ่งมีจำนวนประมาณ 2.5 แสนคนต่อปี กลุ่มที่มาตีกอล์ฟซึ่งมีจำนวนกว่า 1 แสนคนต่อปี หรือกลุ่มที่มาเที่ยวระยะยาว 9 เดือนขึ้นไป ที่มีอย่างน้อย 7 หมื่นคนต่อปี

ความโดดเด่นของนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าว คือ มีการใช้จ่ายต่อทริปที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก อย่างเช่น นักท่องเที่ยวแบบ medical มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างน้อย ๆ 2 เท่า หรือกลุ่มที่มาเที่ยวระยะยาว ซึ่งมักพำนักนานถึง 9-12 เดือน มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงกว่าค่าเฉลี่ยกว่า 11 เท่า และมักสร้างรายได้ที่กระจายสู่ชุมชนและธุรกิจขนาดย่อย

วันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพำนักระยะยาว (long stay) ที่สามารถอยู่ไทยได้ถึง 9 เดือน โดยในการเดินทางเข้าไทยยังต้องถูกกักตัว 14 วัน แม้ภาครัฐประเมินไว้ว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยได้ 1,200 คนต่อเดือน ซึ่งถือว่าน้อยมากจากที่เคยมีกว่า 3.2 ล้านคนต่อเดือน


แต่นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ทำให้รู้ได้ว่าเมื่อไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว จะสามารถควบคุมการระบาดได้ดีเพียงใดแล้วค่อยพิจารณาเปิดรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งในขณะที่เวลาในการค้นพบวัคซีนยังไม่มีความแน่นอน การปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้อยู่ได้ใน new normal จึงเป็นเรื่องสำคัญ