ลองทำและคิดเพื่อคนอื่น

ชั้น 5 ประชาชาติ

สาโรจน์ มณีรัตน์

ต้องยอมรับว่า การทำเกษตรของประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เพียงแต่อาจมีตกหล่นอยู่บ้าง จนทำให้ผลผลิตของเกษตรกรไทยไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในเรื่องการเตรียมดิน การเพาะปลูก การใช้สารเคมี การเก็บเกี่ยว การบรรจุภัณฑ์ และการส่งออก เนื่องจากผลผลิตของเกษตรกรไทยไม่ถูกยอมรับในตลาดต่างประเทศยิ่งเฉพาะเรื่องการใช้สารเคมี ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันเกษตรกรหลายภาคส่วนของประเทศไทยหันมาใส่ใจเรื่องการปลูกพืชผักปลอดสารพิษ ปลอดสารเคมี และการทำเกษตรอินทรีย์กันค่อนข้างมาก

แต่ทำไมถึงยังไม่ได้รับความนิยม ? ทั้ง ๆ ที่ตลาดมีความต้องการผู้บริโภคอยากรับประทานอาหารปลอดภัย แต่ทำไมผลผลิตเหล่านี้จึงกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม เฉพาะชุมชน หรือถ้าถูกนำมาวางขายในมหานครกรุงเทพตามซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าระดับหรู ราคาจะแพงมากไปกว่าความเป็นจริง ทำไปทำมาเกษตรกรไทยซึ่งเป็นต้นทางของการผลิต ก็ยังลืมตาอ้าปากไม่ได้อยู่ดีเพราะถูกกดราคาทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง หากผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อโดยตรงกับเกษตรกร เขาจะได้เม็ดเงินมากขึ้น เพื่อนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปลงทุนในครั้งต่อ ๆ ไปที่สำคัญหลายรัฐบาลต่างเพิกเฉยต่อการทำเกษตรอินทรีย์ ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้สำคัญต่อประเทศชาติมาก ๆ ช้ำไปกว่านั้น ตัวเลขของคนทำเกษตรอินทรีย์มีเพียงไม่ถึง 1% ถ้าเทียบกับปริมาณประชากรทั่วประเทศ

ฉะนั้นถ้าคิดอย่างไม่ต้องใช้ตรรกะอะไรในทางเศรษฐศาสตร์ อุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ดังนั้นถ้าใครคิดจะบุกเบิกธุรกิจแบบนี้เชื่อว่ายังไงก็ขายได้ เพราะผู้บริโภคมีจำนวนมากกว่าผู้ผลิต ซึ่งบนพื้นฐานหลักคิดนี้เอง จนทำให้ผมนึกถึงตอนที่มีโอกาสไปเมืองโทกาเนะ จังหวัดชิบะ เมื่อหลายปีผ่านมา พวกเขาทำให้ผมประจักษ์ชัดอย่างหนึ่งว่า ต้นทางระหว่างเขากับเราเหมือนกัน เพราะจุดเริ่มต้นของเขาต้องการให้คนในครอบครัวทานอาหารปลอดภัย ปราศจากสารเคมี เขาจึงปลูกพืชผักตามฤดูกาลต่าง ๆ โดยไม่ใช้สารเคมีเลย ซึ่งเกษตรกรบ้านเราก็คิดคล้ายกัน

แต่ที่แตกต่างคือ เกษตรกรของเขาเป็นคนรุ่นใหม่ เฉลี่ยอายุประมาณ 30 ต้น ๆ พวกเขาเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนอย่างเรา ๆ แต่วันหนึ่งเขาเริ่มคิดว่า ชีวิตมนุษย์เงินเดือนในมหานครโตเกียวลำบากมาก ตื่นเช้านั่งรถไฟไปทำงาน กลางวันพักเที่ยง จากนั้นก็ทำงานจนถึงค่ำ และก็นั่งรถไฟกลับบ้านในสภาพอิดโรย ซึ่งเขาไม่อยากใช้ชีวิตอย่างนี้อีกต่อไปแล้ว

พวกเขาจึงปรึกษากันในฐานะเพื่อน ปรึกษาภรรยาว่า เราจะกลับไปเป็นเกษตรกรที่บ้านดีไหม บางคนมีที่ดินเป็นของตนเอง ไม่ใช่เรื่องยาก แต่บางคนต้องเช่าที่ดินคนอื่นเขาทำ ก็เป็นอุปสรรคด่านแรก ด่านที่สองพวกเขาไม่มีความรู้ทางการเกษตรเลย จะทำอย่างไร

ที่สุดพวกเขาจึงตัดสินใจไปหาความรู้ทางด้านการเกษตรจากแหล่งความรู้อื่น ๆ บางส่วนก็หาข้อมูลจากโลกอินเทอร์เน็ต บางส่วนก็เรียนรู้จากเกษตรกรรุ่นปู่ ย่า ตา ยายจนเริ่มเกิดความมั่นใจสุดท้ายจึงรวมกลุ่มกันได้ทั้งหมด 11 คน ด้วยการไปเช่าที่ดินทั้งหมด 25 ไร่ เพื่อปลูกพืชผักอินทรีย์ โดย 5 คนแรกดูแลเรื่องการตลาด 6 คนที่เหลือดูแลเรื่องการผลิต แรก ๆ เขายอมรับว่าล้มไม่เป็นท่า แต่พอผ่านไปสักสองสามปี

พวกเขาสามารถสร้างแบรนด์ฟาร์มไอโยะให้เป็นที่ประจักษ์สำหรับคนในเมืองโทกาเนะ เพราะนอกจากเขาจะส่งพืชผักตามฤดูกาลให้กับเกษตรกรโดยตรง เขายังส่งตามร้านอาหารใกล้เคียงก่อน จนปัจจุบันพืชผักอินทรีย์ของเขาสามารถส่งไปขายยังร้านอาหารในชิบะ, โตเกียว, คานากาว่า และโอซาก้า รวมทั้งหมด 40 กว่าร้านที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์มไอโยะเพื่อประกอบอาหารให้ลูกค้า

นอกจากนั้นพวกเขายังนำสินค้าไปขายตามตลาดนัดชุมชนต่าง ๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ประมาณ 200 ครั้ง/ปีจนทำให้ผลผลิตของฟาร์มไอโยะถูกพูดถึงในวงกว้างที่ไม่เพียงเป็นแหล่งศึกษาของคนในชุมชน หากหลายประเทศทั่วโลกต่างเข้ามาศึกษาดูงาน เพื่ออยากรู้ว่ากุญแจความสำเร็จเกิดขึ้นจากอะไร

“มูโรซูมิ เคนอิจิ” ผู้ดูแลฝ่ายผลิตบอกว่า กุญแจความสำเร็จเกิดขึ้นจากเราเปิดเผยแหล่งที่มาที่ไปทุกอย่างเกี่ยวกับพืชผักแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลในการเพาะปลูก ใครเป็นคนปลูก เก็บเกี่ยวเมื่อไหร่ และปลูกบริเวณใด สิ่งเหล่านี้จะถูกแปะบนฉลากไปยังสินค้าทุกชนิดเพื่อให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลทุกอย่าง ตรงนี้ไม่เพียงทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเข้ามาดิวสินค้ากับเขาโดยตรง หากยังทำให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าเป็นลอตใหญ่ ๆ ด้วย

ขณะที่ “ชิโนะ ยูซุเกะ” ผู้ดูแลการตลาดบอกว่า การที่เราโปร่งใสทุกอย่างตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมดิน เพาะปลูก เก็บเกี่ยว และบรรจุภัณฑ์ จึงทำให้มีลูกค้าให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ฟาร์มไอโยะสามารถสร้างยอดขายรวมประมาณ 30 ล้านเยน/ปี หรือประมาณ 10 ล้านบาท/ปี

ถามว่า คุ้มไหม ? คุ้มมากเขาบอก เพราะนอกจากจะได้อยู่กับครอบครัว เขายังได้บริโภคพืชผักที่ปลอดสารพิษสำคัญกว่านั้น ฟาร์มไอโยะยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวหลายคนในประเทศญี่ปุ่นเริ่มอยากกลับบ้าน เพื่อมาทำเกษตรอินทรีย์ และปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นออกกฎหมายใหม่เพื่อสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกพืชปลอดสารเคมีด้วย โดยระยะพื้นที่ทุก 1,000 ตารางเมตร รัฐบาลจะช่วยเหลือเกษตรกรประมาณ 8,000 เยน/ปี
หรือเกษตรกรรายใดปลูกพืชปลอดสารเคมี และต้องการผู้จะมาฝึกงาน รัฐบาลจะให้เงินช่วยเหลือเดือนละ 1 แสนเยน เป็นเวลา 2 ปี สูงสุดไม่เกิน 2 คน/ฟาร์ม แต่ทั้งนั้นเกษตรกรรายนั้น ๆ จะต้องมีประสบการณ์การทำฟาร์มอย่างน้อย 5 ปี

ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ดีมากสำหรับเกษตรกรชาวญี่ปุ่นผมจึงอยากให้รัฐบาลไทยให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้บ้างเพื่อเกษตกรไทยในวันนี้และวันข้างหน้าพวกเขาจะได้ปลดแอกจากความทุกข์เสียที คุณเห็นด้วยกับผมไหม ?