อัพเดตแผนลงทุน “อีอีซี” 3 กลุ่มธุรกิจเติมเต็ม-ต่อยอด S-curve

คอลัมน์ช่วยกันคิด
สํานักงานคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)

กว่า 2 ปีหลัง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2561 การพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ต้นแบบการพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้โมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ พลิกโฉมอนาคตประเทศคืบหน้าตามลำดับ

โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำมาตรการส่งเสริมการลงทุน การเตรียมบุคลากร แรงงานฝีมือ รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 อุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โฟกัสไปที่ 3 กลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูง

ล่าสุด ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มีพลเอกประยุทธ์ในฐานะประธานกรรมการ กพอ.เป็นประธาน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้าในการพัฒนาอีอีซีที่สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) อัพเดตแผนงานโครงการต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการ ดังนี้

1.ความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก

– โครงสร้างพื้นฐานคืบหน้าต่อเนื่อง 3 โครงการ ได้เอกชนร่วมลงทุนพร้อมเริ่มดำเนินการแล้ว

1) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน การดำเนินงานเป็นไปตามแผนคณะทำงานเร่งรัดโดยช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา คาดว่าจะส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนดำเนินงานเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2564 ช่วงดอนเมือง-พญาไท จะส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนดำเนินงานเดือนมกราคม 2565 ในส่วนงานแอร์พอร์ตเรลลิงก์ บริษัทเอกชนคู่สัญญาได้เริ่มดำเนินการในช่วงระยะที่ 1 แล้ว คือการปรับปรุงคุณภาพบริการ และปรับปรุงความสามารถการเดินรถ

2) โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก บริษัทเอกชนได้ส่งแผนแม่บทฉบับเบื้องต้นโครงการ (Preliminary Master Plan) และกองทัพเรือ ได้ส่งร่างรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ มาตรการป้องกันและแก้ไข ตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EHIA) ให้แก่ สกพอ.เพื่อพิจารณา โดยปัจจุบันคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานบูรณาการโครงการเพื่อให้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จตามเป้าหมายในปี 2567

3) โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 คณะกรรมการจ้างที่ปรึกษาผู้แทนจาก สกพอ. และ กนอ. ได้พิจารณาข้อเสนอทางเทคนิคและขอบเขตของงานจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง งานโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนออนุมัติว่าจ้างที่ปรึกษาต่อ กพอ.เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อไป

เหลือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 3 โครงการยังคงดำเนินการต่อเนื่อง ได้แก่

1.โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F จะลงนามสัญญากับเอกชนได้ภายในปี 2563 นี้

2.โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) รอความชัดเจนแผนฟื้นฟูกิจการของการบินไทย และ

3.โครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (EECd) อยู่ระหว่างจัดทำร่างประกาศเชิญชวนเอกชนรับเอกสารข้อเสนอ (Request for Proposal : RFP) ฉบับใหม่

– อีซีซีเดินหน้าการลงทุน “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน”

การลงทุนในพื้นที่อีอีซีปัจจุบันยังคงเดินหน้าต่อเนื่องและมีความคืบหน้าหลายโครงการ เกิดการลงทุนจากงบฯบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โครงสร้างพื้นฐานรัฐร่วมเอกชน (PPP) และการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ มีมูลค่าสูงถึง 1,582,698 ล้านบาท (ณ กันยายน 2563) แบ่งเป็น

1.งบฯบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (โครงสร้างพื้นฐาน) อนุมัติแล้ว 67,687 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนระหว่างปี 2561-2564 มูลค่า 50,757 ล้านบาท และเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องปี 2565-2567 มูลค่า 16,930 ล้านบาท

2.โครงการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชน หรือ PPP ได้ผู้ลงทุน 3 โครงการ ทำสัญญาแล้วรวม 527,603 ล้านบาท โดยจะมีการลงทุนในปี 2563 มูลค่า 2,565 ล้านบาท ในปี 2564 มูลค่า 55,783 ล้านบาท และลงทุนตลอดระยะเวลาโครงการ 469,255 ล้านบาท

3.ออกบัตรส่งเสริมการลงทุน โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ส่งเสริมการลงทุนให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซีตั้งแต่ปี 2560-มิถุนายน 2563 รวมเป็นมูลค่าการลงทุน 987,408 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของภาคเอกชนทั้งสิ้น

– ประสานกระทรวงการต่างประเทศ สร้างความร่วมมือเอกอัครราชทูต เจาะลึกชวนนักลงทุนทั่วโลก

สกพอ.ได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อชักจูงนักลงทุนผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานของไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกันกับสถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่าง ๆ ที่มีกลุ่มนักลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยได้ดำเนินการประชุมทางไกลร่วมกับหน่วยงานกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตกว่า 50 ท่าน

พร้อมจัดส่งรายชื่อบริษัทและเจ้าของเทคโนโลยีเพื่อชักชวนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งเบื้องต้นได้จัดประชุมเฉพาะกลุ่ม (focus group) เจาะลึกและจัดส่งข้อมูลการลงทุนให้กับเอกอัครราชทูตประจำประเทศนั้น ๆ แล้ว ได้แก่ สหราชอาณาจักร 2 บริษัท สิงคโปร์ 1 บริษัท สหรัฐอเมริกา 2 บริษัท และฝรั่งเศส 2 บริษัท

– ขับเคลื่อน 3 แกนนำกลุ่มธุรกิจ เติมและต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมาย

แนวทางการส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี สกพอ.ได้สร้างกลยุทธ์การส่งเสริมและสนับสนุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S-curve โดยมุ่งเน้นสนับสนุน 3 แกนนำกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ได้แก่

1) กลุ่มธุรกิจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ต่อยอดจากอุตสาหกรรมเป้าหมายการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เน้นเทคโนโลยีระบบการแพทย์แม่นยำ จีโนมิกส์

2) กลุ่มดิจิทัลและเทคโนโลยี 5G ต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ยานยนต์สมัยใหม่ เน้นเทคโนโลยีระบบ 5G การพัฒนา platform บนพื้นฐาน 5G

3) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (smart logistics) ต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมาย การบินและด้านโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดี และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เน้นเทคโนโลยีระบบจัดการเกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมโยงกับสนามบินอู่ตะเภา

– ยกระดับบุคลากรการศึกษา เยาวชนเรียนดีไม่มีตกงาน มีงานทำรายได้ดี

สกพอ.ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนการพัฒนาทักษะบุคลากรตรงตามความต้องการ demand driven ภาคเอกชนร่วมจ่าย (อีอีซีโมเดล) โดยประมาณความต้องการบุคลากรในพื้นที่อีอีซี ระยะเวลา 5 ปี (2562-2566) จำนวน 475,000 อัตรา พร้อมพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมทักษะบุคลากร 200 หลักสูตรใหม่

ทั้งนี้ แผนดำเนินการอีอีซีโมเดลปี 2564 มีเป้าหมายพัฒนาทักษะบุคลากรให้ได้ 20,000-30,000 คน แบ่งเป็น

1) อีอีซีโมเดล type 1 : ภาคเอกชนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด 100% หลักสูตรอาชีวศึกษา พร้อมค่าใช้จ่ายรายเดือนให้ผู้เรียนระหว่างที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงรับนักศึกษาเข้าทำงาน ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว 2,516 คน

2) อีอีซีโมเดล type 2 : ภาครัฐและเอกชนสนับสนุนร่วมกัน 50 : 50 ฝึกอบรมระยะสั้น (short courses) เพื่อผลิตกำลังคน ปรับทักษะ (reskill) เพิ่มทักษะ (upskill) ในระยะเร่งด่วน และได้ทำงานทันที ซึ่งได้มีการอนุมัติหลักสูตร short courses แล้ว 89 หลักสูตร จาก 200 หลักสูตร ปัจจุบันได้ดำเนินการแล้ว 6,064 คน และได้รับงบประมาณเพื่อเตรียมดำเนินการเพิ่มอีก 13,350 คน

นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สกพอ.ได้ขับเคลื่อน “โครงการฝึกอบรมเพื่อชะลอการว่างงานและยกระดับทักษะตรงกับงานในอนาคต อุตสาหกรรมยานยนต์” ภายใต้ พ.ร.บ.เงินกู้ 400,000 ล้านบาท นำหลักสูตร short courses เพิ่มทักษะให้บุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ให้ถูกปลดจากงาน สร้างรายได้เพิ่ม 9,500 คน

สำหรับความร่วมมือพัฒนาบุคลากรกับหน่วยงานที่สำคัญ ๆ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการ ผลักดันแนวทางการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศการอาชีวศึกษาในพื้นที่อีอีซี (Excellent Center) เพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะด้านให้กับนักเรียนได้อย่างตรงจุด สามารถทำงานได้ทันทีหลังจบการศึกษา เบื้องต้นมีจำนวน 5 แห่ง

ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา (ศูนย์ยานยนต์สมัยใหม่) วิทยาลัยเทคนิคพนมสารคาม (ศูนย์ดิจิทัลและหุ่นยนต์) วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี (ศูนย์ระบบราง และ Logistic) วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ (ศูนย์ Aviation และการท่องเที่ยว) และวิทยาลัยเทคนิคระยอง (ศูนย์ Automation & Robotic) กระทรวงอุดมศึกษาฯผลักดันหลักสูตรการเรียนการสอนในลักษณะร่วมผลิตระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการ (CWIE) กระทรวงแรงงาน เตรียมจัดมหกรรมจัดหางาน EEC Job and Skill Expo ในพื้นที่อีอีซี เป็นต้น

2.แนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ

โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F ซึ่งจะลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนได้ภายในปี 2563 นี้ และจะเปิดให้บริการท่าเทียบเรือ F ตั้งแต่ปี 2567 การพัฒนาท่าเทียบเรืออื่น ๆ ให้มีความจุประมาณ 18 ล้านตู้สินค้า (ทีอียู) ต่อปีภายในปี 2572

ทั้งนี้ เพื่อให้ท่าเรือแหลมฉบังเป็นประตูการค้าการลงทุน เสริมยุทธศาสตร์ที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาค จึงจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาพิเศษระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (เอสอีซี) เชื่อมโยงกับอีอีซีเพื่อการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ลดระยะเวลาและขั้นตอนการขนส่งสินค้า อำนวยความสะดวกการเดินทางให้ประชาชน และเพื่อให้ประเทศไทยมีความสามารถการแข่งขันที่ยั่งยืนสำหรับแนวทางการเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ ประกอบด้วยโครงการสำคัญ ได้แก่

1.โครงการท่าเรือบก (dryport) โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย และ สกพอ. จะเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังกับนานาชาติ โดยร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ดำเนินการท่าเรือบกในเมืองสำคัญ ๆ เช่น ฉงชิ่ง คุนหมิง (จีน) นาเตย หลวงพระบาง เวียงจันทน์ สะหวันนะเขต (สปป.ลาว) ย่างกุ้ง เนย์ปิดอว์ มัณฑะเลย์ (พม่า) ปอยเปต พนมเปญ (กัมพูชา) และดานัง (เวียดนาม) ซึ่งคาดว่าเมื่อเชื่อมโยงสมบูรณ์จะมีการเพิ่มปริมาณสินค้าเข้าท่าเรือแหลมฉบังได้ 2 ล้านตู้สินค้า (ทีอียู) ต่อปี

2.โครงการเชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน (ท่าเรือชุมพร ท่าเรือระนอง land bridge) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) มีโครงการจะพัฒนาท่าเรือน้ำลึก จังหวัดระนอง ให้เป็นท่าเรือสินค้าคอนเทนเนอร์ ขนส่งสินค้าเส้นทางเดินเรือในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ หรือ BIMSTEC (บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เมียนมา เนปาล และศรีลังกา)

โดยการขนส่งผ่านท่าเรือระนอง จะลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า เพราะไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา และมีแนวคิดจะพัฒนาท่าเรือน้ำลึกจังหวัดชุมพรเพิ่มเติม โดยจะพัฒนาระบบขนส่งสินค้าเพื่อเชื่อมโยงท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 แห่งด้วยรถไฟทางคู่และทางหลวง motorway เพื่อเป็นสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงทะเลอันดามันและอ่าวไทย

3.โครงการสะพานไทย ที่จะเชื่อมโยงอีอีซีไปสู่เอสอีซี โดยการก่อสร้างทางรถยนต์มาตรฐาน 4 ช่องจราจรพร้อมไหล่ทางเชื่อมฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอ่าวไทยตอนบน (เชื่อม จ.ชลบุรีและ จ.เพชรบุรี) ระยะทางประมาณ 80-100 กิโลเมตร สามารถประหยัดระยะเวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง โดยจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและลดต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างภาคใต้และท่าเรือแหลมฉบัง

ทั้ง 3 โครงการที่ประชุม กพอ.ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) กำกับการบูรณาการโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงคมนาคม และ สกพอ.ร่วมกันศึกษาโดยเน้นการร่วมลงทุนรัฐและเอกชน และการจัดลำดับความสำคัญเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้แก่ประเทศและประชาชน