คอลัมน์ ช่วยกันคิด ดร.ปกรณ์ วิชยานนท์
ภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่แพร่กระจาย ไปแทบทุกประเทศคงทำให้เราจำได้ว่า ช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะได้ประโยชน์หลายรูปแบบจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันกันมากขึ้น กลุ่มประเทศหลายกลุ่มก็ประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจมาหลายครั้งจากหลายสาเหตุ ภาวะวิกฤตเหล่านี้ยืนยันว่า “ความเสี่ยง” ในรูปแบบต่าง ๆ (เช่น ความผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน คลุมเครือ) เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งทั้งในการประกอบธุรกิจของเอกชนและการดำเนินนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐ เพราะก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงให้แก่ทั้งประเทศที่ก่อวิกฤตและประเทศคู่ค้าหรือข้างเคียง (เนื่องจากวงจรการเงิน การค้า และจิตวิทยา)
ปกติธุรกิจเอกชนแทบทุกประเภทมักมีจุดประสงค์หลักเหมือนกัน คือ ทำกำไรให้สูงสุดโดยใช้ช่องทางหรือกลยุทธ์หลายรูปแบบ เช่น ลงทุนในธุรกรรมใหม่ ๆ และ/หรือเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่หลายธุรกิจเหล่านั้นกลับมองข้ามหรือให้ความสำคัญไม่เพียงพอ คือ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ในแง่นี้วิกฤตเศรษฐกิจในอดีตคงให้ข้อเตือนใจแก่นักธุรกิจว่าควรมีความรอบคอบและมองการณ์ไกล ตรงกับที่รัชกาลที่ 9 ได้ทรงให้คติที่สั้นและกินใจความได้ดีมากว่า “คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ” นอกจากนั้น นักธุรกิจควรให้ความสำคัญแก่ความพร้อมของฐานะ และความสอดคล้องกับสถานภาพของตนหรือนโยบายหลักของรัฐด้วย
ในหลายประเทศประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้และการศึกษาต่ำ ความเสี่ยงประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากการขาดข้อมูลข่าวสารธุรกิจที่ถูกต้องและทันสมัย ทำให้ธุรกิจเอกชน และ/หรือประชาชนที่เกี่ยวข้องประสบปัญหารุนแรงได้ ซึ่งหน่วยงานรัฐสามารถเข้ามามีบทบาทในการติดตามและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนทราบล่วงหน้า ช่วยให้เอกชน และ/หรือเศรษฐกิจส่วนรวมไม่ประสบปัญหาหรือสภาวะวิกฤต รัฐอาจต้องวางกฎเกณฑ์ข้อบังคับหรือข้อเตือนใจให้เอกชนทราบเกี่ยวกับธุรกิจเหล่านั้นด้วย อนึ่ง กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับไม่ควรจำกัดหรือเข้มงวดมากเกินไป เพราะโลกธุรกิจในยุคปัจจุบันมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งที่ตรงกับ “อนิจจัง” ในพุทธศาสนา คือ ความไม่เที่ยง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
กลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้ทั้งรัฐและเอกชนสามารถต่อสู้กับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง (ของราคาความต้องการ และอื่น ๆ) ในตลาดโลก คือ การ “กระจาย” ประเภทของสินค้าและตลาด ประเภทของสินค้าในที่นี้หมายถึงชนิดของผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ ส่วนประเภทของตลาดนั้นหมายถึงตลาดภายในและตลาดภายนอกประเทศ การกระจายนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและถ่วงน้ำหนักระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้ประกอบการและเศรษฐกิจส่วนรวมเข้าสู่จุดสมดุล (หรือ “มัชฌิมา”) ได้อย่างยั่งยืน
การลดความเสี่ยงโดยกลยุทธ์ “กระจาย” นี้ อาจให้ผลตอบแทนสุทธิที่ต่ำกว่ากลยุทธ์ “กระจุก” บ้างในบางเวลาก็ตาม แต่โดยเฉลี่ยในระยะยาวแล้ว กลยุทธ์กระจายจะให้ผลตอบแทนที่ราบรื่นหรือสม่ำเสมอมากกว่ากลยุทธ์กระจุก เพราะการลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องก็มีมูลค่าเช่นเดียวกับผลตอบแทน นอกจากนั้น ผลดีอีก 2 ประการของนโยบายกระจาย คือ เพิ่มเสถียรภาพให้แก่กระแสรายได้ และลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ให้แก่เศรษฐกิจส่วนรวมด้วย
ประสบการณ์ของเกษตรกรที่จะกล่าวต่อไปนี้ยืนยันว่า การกระจายดีกว่าการกระจุกแน่นอน (1) คุณชาญ มั่นฤทธิ์ ที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ประสบความสำเร็จในการทำการเกษตรโดยลดการปลูกข้าวในพื้นที่ 15 ไร่ เหลือเพียง 7 ไร่ และใช้พื้นที่ 8 ไร่ที่เหลือไปปลูกพืชผักอื่น ๆ อันได้แก่ พริก ตะไคร้ ถั่วพู มะเขือ กะเพรา โหระพา มะพร้าว ขนุน กล้วย มะละกอ ไผ่ การเปลี่ยนแปลงไปทำการเกษตรแบบผสมผสานนี้ไม่ต้องใช้เงินทุนหรือแรงงานสูง แต่ผลตอบแทนจากการแปรรูปนี้กลับสูงกว่าการปลูกข้าวในเชิงเดี่ยวมากพอควร นอกจากนั้น ผลตอบแทนสุทธิที่คุณชาญได้รับยังสม่ำเสมอและยั่งยืนอีกด้วย
(2) คุณมนูญ สุวรรณชาตรี อ.ควนโดน จ.สตูล เปลี่ยนสภาพสวนยางพาราผืนใหญ่ 17 ไร่ มาเป็นยางพารา 3 ไร่ และนำพื้นที่ 14 ไร่ที่เหลือไปปลูกพืชสวนผสม เช่น ยอดชะอม มะละกอ ตะไคร้ ขมิ้น ข่า กล้วย สะตอ ช่วยสร้างรายได้ให้สม่ำเสมอ ปัจจัยที่มีส่วนช่วยมาก ได้แก่ ความต้องการของตลาด และเสถียรภาพของราคาที่เกี่ยวข้อง
ที่น่าเสียดาย คือ มีเกษตรกรแบบผสมนี้เป็นจำนวนน้อยมากในประเทศไทย ทำให้เกิดการกระจุกตัวและก่อความเสี่ยง ทั้งตัวเกษตรกรและเศรษฐกิจส่วนรวม หลักฐานของการกระจุกตัวนี้ดูได้จากสัดส่วนในมูลค่าของผลผลิตการเกษตรทั้งสิ้นของประเทศ 45% ของมูลค่านี้มาจากข้าว (20%), ยาง (20%)
และมันสำปะหลัง (5%) การกระจุกตัวเช่นนี้ทำให้ 50% ของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมของไทยขึ้นอยู่กับสินค้าเพียง 3 ประเภทนี้
การที่ไทยได้เข้าพึ่งตลาดโลกเป็นหลักให้แก่ผลผลิตการเกษตรจำนวนน้อยประเภท ก่อให้เกิดความเปราะบางแก่ภาคเกษตรกรรม จากความผันผวนของราคา ความต้องการ และข้อตกลงหรือข้อขัดแย้งอื่น ๆ ในตลาดโลกที่มีอยู่มาก และไทยอาจไม่สามารถใช้อิทธิพลคุมตลาดได้ตามที่ต้องการ นอกจากนั้น ปัญหาการกระจุกตัวนี้ก็เกิดขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน ประมาณ 50% ของมูลค่าผลผลิตอุตสาหกรรมเกาะตัวอยู่ในกลุ่มอาหาร ปิโตรเคมี คอมพิวเตอร์ เคมีภัณฑ์และรถยนต์ ขณะที่ 50% ของผลผลิตรถยนต์ คอมพิวเตอร์ อัญมณีเครื่องประดับ และยาง ก็พึ่งการส่งออกสู่ตลาดโลกเป็นหลัก
การศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นชัดว่า ในทุกภาคเศรษฐกิจของไทยควรมีการกระจายประเภทสินค้าหรือผลผลิตมากกว่าปัจจุบัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาและภาวะตลาด ในจุดนี้บางฝ่ายอาจโต้แย้งว่าเอกชนในไทยคงยังไม่สามารถกระจายประเภทผลผลิตได้ตามที่เสนอแนะ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ยังมีขนาดเล็กหรือเป็น SMEs อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ประกอบการเอกชนรายเล็กก็รวมกลุ่มจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน (91,971 แห่ง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2563 ตามรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์) หากการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเหล่านี้สามารถตกลงจัดทำระบบการกระจายประเภทและปริมาณผลผลิต รวมทั้งแผนปันผลอย่างยุติธรรมได้ (ดังเช่นสหกรณ์ที่ดี) ผู้ประกอบการเอกชนจะเข้มแข็งมากขึ้น สามารถต่อสู้กับความเสี่ยงได้ดีขึ้น
นอกจากนั้น รัฐสามารถเข้าช่วยกระตุ้นการกระจายประเภทผลผลิตของภาคเอกชนได้อย่างแน่นอน โดยให้แรงจูงใจบางอย่าง (ที่อาจคล้ายกับนโยบาย “ช้อปดีมีคืน”) แก่ผู้ประกอบการเอกชนที่กระจายประเภทผลผลิตของตนได้สำเร็จ