อย่าเอาประชาชนเป็นตัวประกัน

รถไฟฟ้าสายสีเขียว-ประชาชน
บทบรรณาธิการ

เวลาผ่านไปนานเท่าใด เผือกร้อนการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอสซี) ยิ่งร้อนทะลุปรอท ไม่ใช่แค่ กทม.จะมีหนี้เพิ่มเท่านั้น แต่ยิ่งเพิ่มรอยร้าวระหว่างพรรคพลังประชารัฐ กับพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

2 เดือนเศษ หลังที่ประชุม ครม.เมื่อ 17 พ.ย. 2563 ตีกลับข้อเสนอกระทรวงมหาดไทย ที่ขอขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวสายสุขุมวิท ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช กับสายสีลม ช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน และส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, อ่อนนุช-แบริ่ง-สมุทรปราการ และตากสิน-บางหว้า อีก 30 ปี ตั้งแต่ปี 2572-2602 เนื่องจากกระทรวงคมนาคมติง ถึงขณะนี้ยังไร้ข้อสรุป

ทั้งยังมีปมใหม่แทรกเพิ่ม จากที่ กทม.ออกประกาศเมื่อ 15 ม.ค. 2564 จะปรับอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็น 15-104 บาท จากปัจจุบันสูงสุด 59 บาท ตั้งแต่ 16 ก.พ. 2564 และถูกคมนาคมเบรกซ้ำ ให้ชะลอปรับขึ้นค่าโดยสาร โดยชี้ว่าไม่เป็นไปตามมติ ครม.ปี 2561 และให้ กทม.เร่งชี้แจงข้อสงสัยกรณีต่ออายุสัมปทาน 4 ประเด็น แม้ กทม.กับมหาดไทยจะยืนยันหนักแน่นว่า ทุกขั้นตอนดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย

แต่เรื่องไม่จบง่าย ๆ ล่าสุด คณะกรรมาธิการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายโสภณ ซารัมย์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และอดีต รมว.คมนาคม เป็นประธาน หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพิจารณา และมีมติไม่เห็นชอบด้วยกับการขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทำให้ยิ่งคาดเดาได้ลำบากว่า สุดท้าย ครม.จะชี้ขาดอย่างไร แต่ กทม.ที่แบกหนี้อยู่กว่า 1.2 แสนล้านบาท แถมดอกเบี้ยงอกเงยทุกวัน กับเอกชนผู้รับสัมปทาน ยังต้องลุ้นระทึกอีก

เกี่ยวโยงทั้งกับคนกรุง และคนไทยทั้งประเทศ เพราะไม่ว่าปมปัญหาที่เกิดขึ้นจะได้ข้อยุติ โดย ครม.ไฟเขียวให้ต่ออายุสัมปทานกับบีทีเอสซี 30 ปี แลกกับให้เอกชนรับหนี้แทน หรือให้ต่อสัมปทานและให้ กทม.เจรจาต่อรองผลประโยชน์ รวมทั้งค่าโดยสาร หรือใช้แนวทางอื่น ก็มีแนวโน้มสูงที่รัฐบาลต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อลดภาระหนี้ที่ กทม.ต้องแบกรับ

ที่กำลังถูกจับตาคือ ท่าทีของหน่วยงานรัฐระหว่าง คมนาคม กับ มหาดไทย ที่ไปคนละทาง ทำให้เกิดข้อสงสัยและมีคำถามในทำนอง เป็นเรื่องมีผลประโยชน์แอบแฝง หรือประเด็นทางการเมือง เพราะหากต่างฝ่ายต่างมีเจตนาดี ต้องการรักษาผลประโยชน์รัฐ และให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่แพงเกินเหตุ น่าจะมีทางออกไม่เกิดปมขัดแย้ง


ทั้งสองฝ่ายจึงต้องจริงจัง จริงใจ เร่งยุติปัญหาไม่ให้คาราคาซัง ยึดประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ปิดเกมจบดีลยื่นหมูยื่นแมว หรือสัญญาต่างตอบแทน เหมือนจับประชาชนเป็นตัวประกัน