ดัชนีความเชื่อมั่น ผู้ประกอบการค้าปลีก 2563

ห้างสรรพสินค้า
PHOTO : PIXABAY (ภาพประกอบข่าวเท่านั้น)
คอลัมน์ นอกรอบ
ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก (retail sentiment index) ซึ่งจัดทําร่วมกันระหว่างสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นดัชนีที่สํารวจความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าและค้าปลีกบริการ น่าจะเป็นปัจจุบันที่สุดเพราะเป็นดัชนีรายเดือน แม้ยังไม่สมบูรณ์ตามหลักสถิติศาสตร์ ก็สะท้อนการบริโภคของประเทศได้ระดับหนึ่ง และเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อภาครัฐและภาคเอกชน ในการกําหนดทิศทาง นโยบายของธุรกิจอย่างดีในปัจจุบัน

วัตถุประสงค์การจัดทําดัชนีค้าปลีก

1.เป็นดัชนีชี้เศรษฐกิจมหภาคด้านการบริโภคของประเทศ

2.เป็นดัชนีชี้การบริโภคในแต่ละกลุ่มธุรกิจ

3.เป็นดัชนีชี้การบริโภคในระดับภูมิภาค เพื่อให้เป็นข้อมูลแก่ภาครัฐในการกําหนดทิศทางและนโยบายที่เหมาะสม

ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2563

1.ปัจจัยการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มปะทุขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้ภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก ภาคีสมาคมผู้ค้าปลีกไทย หดตัวอย่างรุนแรงนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ลดตํ่าลงกว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 และหลังจากผ่านช่วงการ lock down ในเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2563 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกค่อยขยับเพิ่มขึ้นสูงสุดเดือนมิถุนายน เป็นผลจากมาตรการเยียวยาการจ้างงานของภาครัฐ จากนั้นเมื่อมาตรการเยียวยาสิ้นสุด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกลดลงเป็นลําดับจนถึงเดือนกันยายน 2563

อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน 2563 ก็ขยับเพิ่มขึ้นจากแรงกระตุ้นการจับจ่ายตามโครงการภาครัฐ นับจาก ไทยเที่ยวไทย, ช้อปดีมีคืน, คนละครึ่ง แต่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกตลอดปีที่ 2563 เฉลี่ยก็ยังตํ่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ยกลางอยู่มาก

และแล้วดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีก เดือนธันวาคม 2563 กลับลดลงแรง เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน และเป็นการลดลงเดือนแรก นับจากเดือนกันยายน 2563 โดยปรับตัวลดลงตํ่ากว่าค่าเกณฑ์เฉลี่ยกลาง 50 เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง และยังผลให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม-มีนาคม 2564) ลดลงตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยกลางระดับ 50 ซึ่งตํ่ากว่าความเชื่อมั่นในเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ใช้มาตรการ lock down เข้มข้น

2.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งน่าจะเป็นภาพสะท้อนความอ่อนไหวต่อความเชื่อมั่นผู้ประกอบการทั้งนี้ สัดส่วนภาคการค้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 42 ของภาคการค้าทั้งประเทศ และด้วยอยู่ในพื้นที่ใกล้กับศูนย์กลางการบริหารภาครัฐ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงเปรียบเสมือนตัวแทนดัชนีความเชื่อมั่นทั้งประเทศ แม้มีปัจจัยและรายละเอียดบางส่วนที่แตกต่างจากดัชนีความเชื่อมั่นในแต่ละภูมิภาคอยู่บ้าง

3.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกภาคกลาง (ประกอบด้วย ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก) ก็ตํ่ากว่าเกณฑ์ค่าเฉลี่ยที่ 50 นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา ปัจจัยสําคัญที่ส่งให้ดัชนีความเชื่อมั่นลดตํ่าลง สืบเนื่องจากภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีความสําคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคตะวันออกได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดเป็นอย่างมาก และเมื่อมีการ lock down ดีมานด์ต่าง ๆ ลดลงจากการจับจ่ายโดยฉับพลัน

ส่งผลให้ขบวนการซัพพลายเชนหยุดชะงัก และมีการปิดกิจการในภาคการผลิตเป็นจํานวนมาก แรงงานถูกเลิกจ้างหรือจ้างงานไม่เต็มที่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในภาคกลางจึงมีทิศทางลดลง ขณะที่ภาคเกษตรกรรมซึ่งมีผลผลิตข้าวเป็นหลักก็มีผลผลิตเกินความต้องการ ราคาจึงไม่ได้ตามเป้าหมาย ส่งผลให้กําลังซื้อทั้งภาคกลางค่อนข้างอ่อนตัวลง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกจึงลดตํ่าลงอย่างที่เห็น

4.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกภาคเหนือ ภาคเหนือมีจุดเด่นคือทรัพยากรป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ภูมิประเทศเอื้ออํานวยต่อการเพาะปลูกพืชหลายชนิด มีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยมูลค่าทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ ภาคการท่องเที่ยวและบริการมีสัดส่วนร้อยละ 60 จัดว่าเป็นเศรษฐกิจสําคัญ

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศในภาคเหนือมีสัดส่วนเพียง 40% อีก 60% เป็นนักท่องเที่ยวคนไทย ผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิดต่อรายได้จากการท่องเที่ยวจึงกระทบน้อยกว่าภาคใต้ ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรกรรมที่สําคัญรองลงมา ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 26 ก็มาจากผลผลิตทางการเกษตรสําคัญ ได้แก่ ข้าว, ข้าวโพด, อ้อย, สตรอว์เบอรี่, ชา กาแฟพันธุ์อราบิก้า ซึ่งมีรายได้ดีตลอดปี 2563 ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการยังอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

5.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ค่อนข้างมีทิศทางใกล้เคียงกับภาคเหนือ แม้ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวตํ่ากว่าภาคเหนือ แต่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสัดส่วนภาคการค้า (ค้าปลีกค้าส่ง) ที่ใหญ่กว่าภาคเหนือ ด้วยประชากรกว่า 22 ล้านคน หรือราวหนึ่งในสาม ส่งผลให้เกิดการบริโภคที่สูงเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสําคัญที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือถูกกระทบจากโควิดน้อย เมื่อเทียบกับภาคกลางและภาคใต้

ก็เพราะแรงงานส่วนหนึ่งที่ถูกเลิกจ้างจากโรงงานอุตสาหกรรมในภาคกลาง ย้ายถิ่นฐานกลับภูมิลําเนา มีกําลังซื้อจากเงินบําเหน็จบํานาญ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการลดลงช่วงแรกและฟื้นตัวขึ้นเร็ว

6.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคใต้ ปี 2563 พิจารณาในมิติภูมิภาค จะพบว่าภูมิภาคทางใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นตํ่ากว่าภูมิภาคอื่น ๆ และตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยกลางที่เส้น 50 ตลอดทั้งปี ทั้งนี้ ภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูง เป็นสัดส่วนสูงถึง 80% ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งภาค แม้ว่าจะมีการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” แต่ชดเชยรายได้จากต่างชาติที่หายไปเพียง 3-10% เท่านั้น

ขณะเดียวกันพืชเศรษฐกิจหลัก 2 ชนิด คือ ยางพารา และปาล์มนํ้ามัน ราคาในปี 2563 อยู่ในเกณฑ์ตํ่า กําลังซื้อโดยรวมตํ่ากว่าเกณฑ์ตลอดปี

7.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมในเดือนธันวาคม ปี 2563 รายภูมิภาคปรับลดลงจากเดือนพฤศจิกายนในทุกภาค สะท้อนถึงความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ชัดเจน โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งได้รับผลกระทบก่อนภาคอื่น ๆ ขณะที่แนวโน้มในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นลดลงกว่าเดือนที่ผ่านมา ในทุกภูมิภาคเช่นกัน

8.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเมื่อจําแนกตามประเภทร้านค้าปลีก hypermart supermarket และ convenience store พบว่าการแพร่ระบาดของโควิดปี 2563 กระทบร้านค้าปลีกประเภท hypermarket ลดลงชัดเจน ทั้งนี้ ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่จับจ่ายต่อครั้ง per basket ลดลง ความถี่ในการเข้าร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตก็ลดลง ขณะที่ร้านค้าปลีกประเภทซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าสะดวกซื้อ กระทบระดับหนึ่ง จากการจับจ่ายต่อครั้ง per basket ที่ใกล้เคียงเดิม แต่ความถี่ในการจับจ่ายลดลง อีกทั้งห้างค้าปลีก modern chain store ไม่มีสิทธิจะให้บริการ โครงการสวัสดิการภาครัฐและโครงการคนละครึ่ง ทําให้ถูกกระทบเป็นทวีคูณ

9.ในทางกลับกัน ร้านค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้า ผู้ประกอบการ ห้างสรรพสินค้ามีความวิตกต่อการแพร่ระบาดโควิด-19 ค่อนข้างมาก สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในเดือนธันวาคม 2563 ลดลงตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยกลางระดับที่ 50 ชัดเจน ขณะที่เดือนพฤศจิกายน ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลางระดับที่ 50 บวกกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ “ช้อปดีมีคืน” ไม่ปังเท่าที่คาด ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวมีหลายโครงการ อาทิ เราเที่ยวด้วยกัน, คนละครึ่ง ทําให้ประชาชนมีทางเลือกค่อนข้างเยอะ แม้ร้านค้าปลีกจะจัดส่งเสริมการขายมากมายก็ตาม

แนวโน้มดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มกราคม-มีนาคม 2564) ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ายังมีความเชื่อมั่นลดลง และลดลงตํ่ากว่าเดือนธันวาคม สะท้อนถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่อาจลากยาวไปกว่า 3 เดือน

10.สําหรับความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในเดือนธันวาคม 2563 มีความเชื่อมั่นทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน อาจจะเป็นช่วงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาว การก่อสร้างอาจจะยังไม่เริ่มต้น และโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐยังอยู่ระหว่างจัดซื้อจัดจ้างและยังไม่เริ่มเบิกจ่าย ซึ่งผู้ประกอบการร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ดูเหมือนไม่มีความกังวลต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แต่อย่างใด

11.ผลจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคาร และเครื่องดื่ม มีความเชื่อมั่นที่ลดลงอย่างมีนัยชัดเจนมากกว่าร้านค้าประเภทอื่น ๆ และตํ่ากว่าค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 ค่อนข้างมาก และเมื่อเทียบกับความเชื่อมั่นในเดือนพฤศจิกายน ที่อยู่เหนือระดับ 50 อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะร้านอาหารมีความไวต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการจํากัดการให้บริการ รวมถึงผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องอาหารที่อาจได้รับการติดเชื้อ อีกทั้งผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นการบริหารแบบเชนสโตร์ ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิดระลอกใหม่ ส่งผลให้ปริมาณการสัญจรยังอยู่ระดับที่ลดตํ่าลงมาก

ขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการร้านอาหารภัตตาคาร เครื่องดื่ม ในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดือนธันวาคม 2563 สะท้อนถึงสถานการณ์ผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่อาจจะแย่ลง (สําหรับเดือนธันวาคม เป็นเดือนที่ 4 ที่ทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยได้เพิ่มผู้ค้าปลีกบริการประเภทร้านอาหาร ภัตตาคาร และเครื่องดื่ม ซึ่งผู้เข้าร่วมกรอกแบบสอบถามเป็นร้านอาหารเชนสโตร์ มีสาขารวมกันกว่า 4,000 สาขาทั่วประเทศ)

การคาดการณ์ผลกระทบการแพร่ระบาดโควิดต่อภาคค้าปลีกระลอกใหม่ 2564

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดว่า สถานการณ์การค้าปลีกค้าส่งในครึ่งปีแรก 2564 น่าจะมีแนวโน้มและทิศทางเดียวกับครึ่งปีหลังของปี 2563 กล่าวคือจะมีแนวโน้มที่ลดตํ่าลง ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี 2564 (ม.ค.-มี.ค.) จะมีความคล้ายคลึงกับไตรมาสสามของปี 2563 (JulAug-Sep) คือมีทิศทางที่ลดลง แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้น เมื่อมีข่าวคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนในเฟสแรก บวกกับมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐอย่างต่อเนื่อง (โครงการคนละครึ่ง)

ส่วนในไตรมาสสองของปี 2564 (เม.ย.-มิ.ย.) ก็จะมีทิศทางคล้ายกับไตรมาสแรกปี 2563 (ต.ค.-ธ.ค.) กล่าวคือ เมื่อมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐค่อย ๆ แผ่วลง บวกกับผลกระทบจากการปิดกิจการ การเลิกจ้าง และการจ้างงานไม่เต็มเวลาสะสมเพิ่มขึ้น

ส่วนครึ่งปีหลังของปี 2564 ก็จะมีแนวโน้มและทิศทางคล้ายกับครึ่งปีแรกของปี 2563 กล่าวคือค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เป็นลําดับ