เร่งสร้าง ‘จิตสำนึก’ แก้ปมวิกฤตซ้อนวิกฤต

รพ.สนาม
ชั้น 5 ประชาชาติ
กฤษณา ไพฑูรย์

ตอนนี้หันไปทางไหน ทุกคนหวั่นวิตกกังวลเรื่องการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีหลายสายพันธุ์กระจายเข้ามาเมืองไทยอย่างมากมาย ชนิดติดง่าย ! และแพร่กระจายเร็ว !

ประเด็นหลักคือ หลายคนติดเชื้อ แต่ร่างกายแข็งแรง ไม่แสดงอาการของโรคออกมา แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้

ขณะที่เตียงนอนในโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนามมีอย่างจำกัด

“ยาฟาวิพิราเวียร์” ที่ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดมีอยู่อย่างจำกัด การสั่งซื้อจากต่างประเทศ ไม่ใช่มีเงินจ่ายจะซื้อได้ทันที

ยิ่ง “วัคซีนโควิด” ด้วยแล้ว ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน ก็ไม่ใช่จะสั่งซื้อได้ทันที

วันนี้คนไทยฉีดไปได้เพียง 1 ล้านกว่าคน จาก 60 ล้านคน เพราะทุกประเทศทั่วโลกต้องการวัคซีนเช่นเดียวกัน

ขอหยิบยกบทความบางส่วนบางตอนของ “ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์” รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เขียนผ่าน FB บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune ในหัวข้อ “ฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ”

คุณหมอบอกว่า “ตอนนี้หลายจังหวัดลงทุน lockdown กลาย ๆ ไปแล้ว… ถ้าดูตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต้องเร่งฉีดวัคซีน เพื่อให้การคลายล็อกไม่มีการระบาดกลับมา …เป้าหมายคือ 50 ล้านคน ก่อนสิ้นปี

ถ้ารัฐบาลบริหารจัดการวัคซีนได้ดี คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนในสัดส่วนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่ตอนนี้ เวลาแจกวัคซีนไปที่จังหวัดไหนก็ตาม แต่ละที่จะเก็บวัคซีนไว้สำหรับ ฉีดเข็มที่ 2 ของคนที่มาฉีดที่ตนเอง …คิดแบบนี้ คนได้ฉีดจะลดลงครึ่งหนึ่ง

วิธีบริหารวัคซีน รัฐยกให้เป็นความรับผิดชอบของแต่ละที่ แต่ละที่ก็ไม่มั่นใจว่าจะได้รับแจกเข็ม 2 หรือเปล่า จึงจำเป็นต้องเก็บเอาไว้

แต่ถ้าการบริหารของรัฐบาลชัดเจน วางแผน รู้ว่าวัคซีนจะเข้าเมื่อไหร่แน่ โดยเฉพาะของ Astra ฉีดเข็มที่ 1 กับเข็มที่ 2 ห่างกันถึง 10 สัปดาห์ ซึ่งวัคซีนลอตใหม่ที่จะมาเดือนมิถุนายน ดังนั้น วัคซีนที่เก็บไว้ฉีดเข็ม 2 ของ Astra ในเวลานี้ สามารถฉีดให้คนอื่นได้เลย กำไรเท่าหนึ่ง… ขอแค่รัฐการันตีว่า จะส่งเข็ม 2 มาให้

การบริหารจัดการข้อมูลสำคัญมาก …เหมือนกู้เงินมาใช้ก่อน ถึงเวลาก็เอาไปคืน …ที่จริงคนไทยเก่งนะครับ เรื่องนี้ กู้เงิน ผ่อนชำระ

หมุนเงิน… แต่พอกับเรื่องสำคัญแบบนี้ ก็ไม่ได้เอามาใช้ เพราะฉะนั้น รีบหมุน ‘วัคซีน’ นะครับ เพราะมันเป็น ‘วาระแห่งชาติ’” คุณหมออดุลย์กล่าวทิ้งท้าย

หากประเทศไทยสามารถบริหารจัดการวัคซีน และมีความชัดเจนอย่างที่คุณหมออดุลย์กล่าว ภาพที่เราเคยเห็นในต่างประเทศ และคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในเมืองไทย วันนี้จะได้คลายความตึงเครียดลง

วันนี้หลายคนติดเชื้อโควิด และนอนตายอย่างเดียวดายที่บ้าน และคอนโดฯ โดยที่โทร.สายด่วนตามที่หน่วยงานรัฐเปิด แต่ปลายสายบอกได้อย่างเดียวว่าให้ “รอ”

แถมวิกฤตซ้อนวิกฤตมากขึ้น เมื่อเกิด “การปิดบังข้อมูล” ของผู้ได้รับเชื้อโควิดในหลายจังหวัด ส่งผลกระทบให้ “บุคลากรทางการแพทย์” ที่มีอยู่จำกัด และทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อย

หลายคนต้องติดเชื้อโควิดไปด้วย ส่วนคนที่ไม่ติดเชื้อ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง ต้องถูกกักตัวไปอีกอย่างน้อย 14 วัน

ตอนนี้ถึงขั้นที่หลายโรงพยาบาลในต่างจังหวัดขึ้นเฟซบุ๊กว่า ต้องปิดตัวลงทั้งโรงพยาบาล เพราะผู้ติดเชื้อปิดบังข้อมูล

ยกตัวอย่าง กรณี “โรงพยาบาลพิปูน” อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้ป่วยหญิงวัย 63 ปี เข้ารับการรักษา ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสอบสวนทุกอย่าง ผู้ป่วยรายนี้ก็ปฏิเสธทุกอย่าง ปกปิดประวัติ นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 2 วัน มีอาการเหนื่อย เอกซเรย์พบปอดบวมจึงตรวจโควิด พบว่ามีการติดเชื้อโควิด ผู้ป่วยจึงสารภาพว่า มีลูกชายมาจาก กทม. มาเยี่ยม

ส่งผลให้โรงพยาบาลพิปูน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่138 คน และเจ้าหน้าที่สัมผัสผู้ป่วยรายนี้อีก 17 คน ต้องถูกกักตัว รวมถึงผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวรวมกับผู้ติดเชื้อ 10 ราย ต้องลำบากตรวจโควิดหมดทุกราย และต้องมีการประกาศปิดโรงพยาบาลพิปูน เป็นเวลา 3-5 วัน เพื่อทำความสะอาดฆ่าเชื้อ

กรณีการปิดบังข้อมูลไม่ใช่เพิ่งเกิดในการระบาดของโควิดระลอก 3 แต่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่การระบาดของโควิดรอบแรก อย่างกรณีของ “โรงพยาบาลบางเลน” อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ได้เคยประสบปัญหานี้มาก่อน

มีหญิงอายุ 56 ปี มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิดที่ กทม. แต่ผู้ป่วยกลับมาใช้สิทธิ์บัตรทองที่โรงพยาบาลบางเลน แต่ไม่แจ้ง ทำให้ต้องกักตัวบุคลากรที่สัมผัสกับผู้ป่วย ทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่รวม 22 คน

ซึ่งทุกคนทราบกันดีว่า โรงพยาบาลในต่างจังหวัดแต่ละแห่งมีหมอ และพยาบาลวิชาชีพ ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว

“โควิด-19” ถือเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรง ไม่ต่างจากในอดีตที่ทั่วโลกเผชิญกับโรคไข้หวัดใหญ่สเปน เมื่อปี ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) หรือประมาณ 103 ปีก่อน ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตทั่วโลกเฉียด 50 ล้านคน

แม้วันนี้ ปี ค.ศ. 2021 เทคโนโลยีก้าวล้ำกว่าอดีต แต่ “ไวรัส ไวร้าย” ก็พัฒนาสายพันธุ์ให้แข็งแรง และพร้อมกลายพันธุ์ในทุก ๆ วันเช่นเดียวกัน

ดังนั้น ถึงเวลาที่ทุกคนต้องร่วมกันปลุกจิตสำนึก สร้างพลังร่วมใจกันขับเคลื่อน ขณะที่รัฐบาลต้องเร่งปรับการทำงานให้เบ็ดเสร็จ เด็ดขาดชัดเจน เพราะนี่เป็นเรื่องความเป็น ความตาย ความหายนะของชีวิตประชาชนทุกคน