ชั้น 5 ประชาชาติ ณัฏฐ์พิชญ์ วงษ์สง่า [email protected]
ถึงวันนี้หลายคนยังคงตั้งคำถามว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดระลอกแล้วระลอกเล่าที่เกิดขึ้นทั่วโลกขณะนี้ รัฐบาลจะยังเดินหน้าเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่กักตัวแล้วจริง ๆ หรือ ?
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเล็ต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
หรือหากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่อาจจะเข้ามาพร้อมกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รัฐบาลจะรับมืออย่างไร แค่นี้ทุกคนในประเทศยังบอบช้ำไม่พอหรือ ?
และอีกหลายต่อหลายคำถาม
ท่ามกลางสถานการณ์ ณ เวลานี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยังคงมีคำถามเหล่านี้ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศเองก็ยังถือว่าหนักหน่วงไม่ต่างจากในต่างประเทศนัก
แต่หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากเมืองอู่ฮั่น (จีน) ที่เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 ถึงตอนนี้เศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหัวทิ่มดิ่งเหวมาเป็นเวลายาวนานเกือบ 1 ปีครึ่งแล้ว
และถ้ายังจำกันได้ ประเทศไทยเรามีแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปีที่แล้ว หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกแรกเริ่มดีขึ้น มีการทยอยเปิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ
ช่วงนั้นรัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มีการนำเสนอรูปแบบการเปิดประเทศภายใต้รูปแบบ “ภูเก็ต โมเดล”
เพราะประเมินว่า “ภูเก็ต” เหมาะสมที่สุดในการเป็นพื้นที่ “นำร่อง” เนื่องจากลักษณะเมืองเป็นเกาะ บริหารจัดการได้ง่ายกว่าพื้นที่ทั่วไป
บวกกับรัฐบาลเห็นว่า เมืองท่องเที่ยวทุกพื้นที่ของประเทศในวันนั้น ธุรกิจเริ่มทยอยปิดกิจการชั่วคราว เพราะลำพังแค่ “ไทยเที่ยวไทย” นั้นไม่สามารถพยุงให้ผู้ประกอบการประคับประคองธุรกิจต่อไปได้
โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟสแรก ก็ไม่บรรลุเป้าหมาย จึงเตรียมขับเคลื่อน “ภูเก็ต โมเดล” เพื่อให้ทันเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนตุลาคม หรือช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
ครั้งนั้นเป็นการเปิดให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาภูเก็ต ทำการกักตัว 14 วัน ตามข้อกำหนดของ ศบค. หลังจากนั้นให้สามารถเที่ยวได้ทั่วประเทศไทย
และหากประสบความสำเร็จที่ภูเก็ต ก็จะขยายไปพื้นที่อื่น ๆ เช่นเกาะสมุย เกาะเสม็ด เกาะช้าง ฯลฯ ซึ่งประเมินแล้วว่าน่าจะเป็นโมเดลที่อาจจะช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพลิกฟื้นกลับมาได้บ้าง
สุดท้าย “ภูเก็ต โมเดล” ล่มไม่เป็นท่า
เพราะอะไร ?
ส่วนหนึ่งเพราะ “แรงต้าน” ของคนในพื้นที่ ที่ปฏิเสธ บอกไม่พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลัวโน่น กลัวนี่ everything jinglebell
รัฐบาลจึงใช้วิธีการเปิดรับต่างชาติเฉพาะกลุ่มเป็นการเฉพาะกิจแทน อาทิ กลุ่มพักระยะยาว หรือ STV กลุ่มเข้ามารักษาพยาบาล, กลุ่มเข้ามาเล่นกอล์ฟ ฯลฯ รวม ๆ แล้วเดือนหนึ่งมีชาวต่างชาติเข้ามาเพียงแค่หลักพันคน ไม่มีนัยสำคัญในเชิงการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด
จากวันนั้นถึงวันนี้ จังหวัดท่องเที่ยวหลัก ๆ ของไทยกลายเป็น “เมืองร้าง” โดยเฉพาะภูเก็ต, เกาะสมุย,พัทยา ฯลฯ โรงแรม, ร้านอาหาร, ร้านขายสินค้าที่ระลึก, บริษัทนำเที่ยว, รถขนส่ง ฯลฯ จำนวนเกินครึ่งยังปิดกิจการชั่วคราว แรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตกงานไปแล้วกว่า 1 ล้านคน
ส่วนที่เปิดให้บริการอยู่แม้จะปรับลดต้นทุนสุดติ่งแล้ว ก็ใช่ว่าจะมีรายได้พอเลี้ยงพนักงาน ร้องระงมขอให้รัฐออกมาตรการช่วยเหลือ
ผู้ประกอบการจำนวนมากเรียงแถวตาย และอีกจำนวนไม่น้อยที่ชีพจรเริ่มแผ่ว กำลังจะหมดลมหายใจในอีกไม่นาน ไม่มีธุรกิจไหนและไม่มีใครที่ไม่บ่น
ครั้งนี้รัฐบาลประกาศคิกออฟเปิด “ภูเก็ต” อีกครั้ง ในชื่อใหม่ว่า “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ในวันที่ 1 กรกฎาคม และอีก 9 จังหวัดท่องเที่ยวคือ กระบี่, พังงา, สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย พะงัน เกาะเต่า), ชลบุรี (พัทยา), เชียงใหม่, กรุงเทพฯ, เพชรบุรี, ประจวบฯ และบุรีรัมย์ ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ พร้อมทั้งพยายามระดมวัคซีนไปฉีดให้คนในพื้นที่ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) เพื่อให้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัว
แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวครั้งนี้ได้รับการตอบรับดีมากจากคนในพื้นที่ ทั้งที่ภูเก็ตและจังหวัดที่อยู่ในแผน พร้อมแย่งกันส่งเสียงว่าพื้นที่ตัวเองพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือรัฐเต็มที่ รวมถึงรีบขอโควตาวัคซีนเพื่อมาฉีดให้คนในพื้นที่ของตัวเอง
อาจเป็นเพราะเวลานี้ “กลัวอด” มากกว่า “กลัวตาย”
เรียกว่าก่อนหน้านี้ “รัฐ” พร้อม แต่ “ผู้ประกอบการ” ไม่พร้อม
ครั้งนี้ “รัฐ” พร้อม และ “ผู้ประกอบการ” ก็พร้อม หวังว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปตามแผนอย่างราบรื่น ร่วมกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจพอมีกระแสเงินสด และช่วยปั๊ม “หัวใจ” คนท่องเที่ยวให้คืนชีพกลับมาได้บ้าง
เพื่อวันหนึ่ง วันที่การเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมา ประเทศไทยยังมีซัพพลายเชนด้านการท่องเที่ยวร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เป็น “เส้นเลือดใหญ่” ในการสร้างรายได้ให้ประเทศเหมือนเดิมได้ต่อไป