คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ กฤษณา ไพฑูรย์
หลายคนเกิดภาวะตึงเครียดจากสถานการณ์ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นกว่า 6 พันคนต่อวัน (ณ 7 ก.ค. 64)
สาเหตุหลักของการติดเชื้อตอนนี้แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นมาจากการติดเชื้อในโรงงาน สถานประกอบการ ในแคมป์ก่อสร้างเป็นหลัก 70-90% อีก 10% พบในที่ทำงาน ส่วนในชุมชนพบน้อยกว่า 10%
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกหลากหลายธุรกิจ ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร สิ่งทอ ฯลฯ เนื่องจากมีพนักงานระดับหลายพันคนต่อโรงงาน
บางโรงงานพบผู้ติดเชื้อคนแรกตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2564 จนถึงวันนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่หยุด
เนื่องจากผู้ติดเชื้อโควิดประมาณ 60-70% ไม่แสดงอาการ ยกตัวอย่างพบผู้ติดเชื้อ 10 คน ในจำนวนนี้มีเพียง 3 คนที่มีอาการ ส่วนอีก 6-7 คนไม่มีอาการ ทำให้คนที่ไม่มีอาการเหล่านี้แพร่โรคไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่ามีเชื้ออยู่ในร่างกาย
การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อในหลายโรงงานทั้งที่กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการให้ทำ Bubble & Seal ด้วยการจำกัดการเดินทางและเข้มงวดในการอยู่ร่วมกันไม่ให้เกิดความแออัดในโรงงาน
แต่สาเหตุที่โรคโควิดระบาดไม่หยุดในหลายโรงงาน ได้มีโอกาสคุยกับนายแพทย์ท่านหนึ่งสะท้อนให้ฟังว่า เพราะแต่ละโรงงาน “ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการจริง !”
เช่น การเว้นระยะห่างก็ไม่ปฏิบัติจริง การทำงานหรือการใส่หน้ากาก ใส่เวลาปฏิบัติงาน แต่เวลาพักไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ถอดหน้ากากคุยกัน
ตอนนี้ทำไมโรงงานมีตัวเลขติดเชื้อเยอะ เพราะเป็นที่รวมกลุ่มของคน โรงงานยังทำงานอย่างแออัด เวลาพักรับประทานอาหาร ยังไปนั่งทานข้าวร่วมกัน กลางวันไปเปิดหน้ากากคุยกัน กินข้าวด้วยกัน ตอนเย็นกลับไปบ้านก็ไปนอนด้วยกันอย่างแออัด เชื้อก็กระจายไปเรื่อย ๆ
มันมีทุกกระบวนการที่ทำให้ไม่สามารถป้องกันได้ !
แต่ถ้าทำได้จริง เว้นระยะห่างกันได้ 2 เมตร ใส่หน้ากากเวลาอยู่ด้วยกัน กลับบ้านก็ดูแลตัวเอง ป้องกันได้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ไม่ติดจำนวนมากอย่างในหลายโรงงานที่เห็น
หรือบางโรงงานอาจจะยังออกแบบระบบไม่ดี ไปตรวจโรงงาน 100 แห่ง พบไม่ผ่านเกณฑ์สาธารณสุขถึง 70 แห่ง และในทุกกระบวนการมีจุดรั่วที่ทำให้ติดเชื้อได้
Bubble & Seal ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เพื่อให้เป็นหลักการตามบริบทที่แต่ละโรงงานเป็น แต่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละโรงงานปฏิบัติได้จริงแค่ไหน
“ตอนนี้เชื้อโควิดมีทุกที่ จากจำนวนคนที่ติดเชื้อเยอะ ในสิ่งแวดล้อมมีเชื้อโรคจากคนที่ไอ มีเสมหะอยู่ที่พื้น มือไปจับสัมผัส เชื้อโรคเต็มไปหมดแล้ว”
สถานการณ์ขณะนี้มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อน่าจะพุ่งขึ้นไปอีก เพราะทุกวันนี้เชื้อกระจายไปทั่วประเทศ ไม่ได้เป็นกลุ่มก้อน ไทม์ไลน์ไม่ต้องไปหาแล้ว เพราะตามหาไม่ได้แล้ว มันไม่ได้ง่าย ๆ ในการสอบสวนโรคบุคคล 1 คน คนติดเชื้อ 5,000 คน จะเอาเจ้าหน้าที่ที่ไหนไปสอบสวนโรค มันยากไปหมด ตามกันไม่ถูกแล้ว
แนะนำว่า คนที่ติดเชื้อไม่มีอาการ ก็ไม่ต้องกังวล ตอนนี้มีความวุ่นวายในบ้านเมือง เพราะคนติดเชื้อที่ไม่มีอาการก็ไปแย่งใช้บริการในโรงพยาบาล แย่งทั้งการตรวจ ทั้งเตียงนอนในโรงพยาบาล
“การครองเตียง 60-70% เป็นคนติดเชื้อที่ไม่มีอาการ ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้”
แต่ว่ามีการไปแย่งเตียง จนทำให้คนป่วยที่มีอาการไม่ได้รับการรักษา มีการรอเตียง ทำให้อาการหนักมากขึ้น
ถ้าทุกอย่างทำตามขั้นตอน ความวุ่นวายจะน้อยมาก ตอนนี้การควบคุมโรคลำบาก เนื่องจากมีการติดเชื้อไปวงกว้าง แพร่กระจาย
ต้องยอมรับว่า การติดเชื้อยังป้องกันไม่ให้แพร่ต่อได้ ถึงแม้เราจะติดแล้ว ไม่ไปคลุกคลีกับใคร ป้องกันได้ด้วยส่วนหนึ่ง
คนติดเชื้อที่ไม่มีอาการทุกคน ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องกินยาลดไข้ ไม่ต้องกินยาต้านไวรัส เพราะไม่มีอาการ ซึ่งคนที่พบ 60-70% ไม่มีอาการ
ส่วนคนที่ยังไม่ติดเชื้อ สิ่งที่ทุกคนต้องทำคือ ใส่หน้ากาก ใกล้ชิดเฉพาะคนในครอบครัวเรา ไม่ไปสังสรรค์ ไปเที่ยวกัน ไปทำกิจกรรมที่คลุกคลีกัน
เพราะเชื้ออยู่ในร่างกายคน ไม่ได้อยู่ในสถานที่ “การปิดโรงงาน” ปิดสถานที่ต่าง ๆ ไม่ได้ช่วยป้องกันโรค
แต่การทำให้ “คนอยู่กับที่” สัก 14 วัน จะเป็นการควบคุมโรคได้ การจะทำอย่างไรให้คนอยู่นิ่ง ๆ 14 วัน
ถ้าทุกคนทำได้พร้อมกัน นับ 1 ถึง 14 วัน โควิด-19 หยุดการแพร่กระจายแน่ !
เพราะฉะนั้นนี่คือหลักที่เราจะช่วยกันป้องกันควบคุมโรคได้ในแนวทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาของมาตรการ “ล็อกดาวน์” เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด
นี่คือสิ่งที่หมอหลายคนพยายามผลักดัน เพื่อให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่ 14 วัน ถ้าเราไม่ช่วยกัน ไม่เข้าใจกัน โรคจะลุกลามเพิ่มขึ้น และบุคลากรทางการแพทย์อ่อนแรงกันแล้ว