“ภาคครัวเรือน-ธุรกิจ” วิกฤต สัญญาณอันตรายผิดนัดชำระหนี้พุ่ง

คอลัมน์ ดุลยธรรม
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ

มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เศรษฐกิจไทยอาจติดลบถดถอยต่อเนื่องเป็นปีที่สอง แม้ภาคการส่งออกฟื้นตัวจากการขยายตัวเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ แต่การทรุดตัวลงของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วรุนแรง จากการล็อกดาวน์ และการขยายล็อกดาวน์รอบใหม่ ประกอบกับไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จำนวนการติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังทำสถิติสูงสุดรายวัน

มาตรการขยายล็อกดาวน์ 13 จังหวัดไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก และทำให้ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมส่งออกได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจของประชาชนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานรายวัน ครอบครัวรายได้น้อย และกิจการขนาดย่อมขนาดเล็ก

หากประเทศไทยยังต้องล็อกดาวน์เป็นระยะ ๆ ไปเรื่อยอีกอย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้า เราคงไม่สามารถมีเงินงบประมาณจ่ายชดเชยรายได้ไปเรื่อย ๆ ได้ จำเป็นต้องขยับเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ 60% และดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมทุกมิติ

ในที่นี้ขอเสนอให้มีมาตรการพักหนี้ให้กับครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย และกิจการขนาดเล็กจนถึงสิ้นปีนี้ โดยปรับลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของสถาบันการเงิน ผ่อนกฎเกณฑ์การตั้งสำรองหนี้เสีย หรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้กับธนาคาร ลดหย่อนภาษีการขายหรือโอนทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน

ขณะเดียวกันคาดการณ์จากการระบาดระลอกใหม่ของ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือญี่ปุ่น จะทำให้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากเป็นพิเศษไปอีกอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปี ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การเร่งตัวของเงินเฟ้อและเสถียรภาพเศรษฐกิจ และการเงินจะบรรเทาลง อัตราดอกเบี้ยจะต่ำไปอีกนาน

ฉะนั้น แรงกดดันต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย 0% ของไทยจะลดลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย จึงควรนำเอานโยบายดอกเบี้ย 0% มาพิจารณาว่า สมควรใช้นโยบายนี้หรือไม่ในการประชุมที่จะถึงนี้ เพราะหากตัดสินใจช้าจะไม่สามารถประคับประคองเศรษฐกิจได้ทันการณ์

และดูเหมือนว่า ประเทศคงมีความจำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์อยู่เป็นระยะ ๆ ในขณะที่มาตรการด้านการคลังมีข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย และการก่อหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นจนใกล้ทะลุเพดานแล้ว

ในส่วนของตลาดเงินและตลาดทุนสภาพคล่องที่มีอยู่สูง ขณะนี้ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดการเงิน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเกินปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โจทย์ใหญ่ของทางการ คือ ทำอย่างไรที่จะทำให้สภาพคล่องไหลเข้าสู่ภาคการผลิต ภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) เบื้องต้นองค์กรของรัฐจึงต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นก่อนการลงทุนจึงจะขับเคลื่อนได้

เพราะการที่สภาพคล่องล้นเพราะไม่มีใครกล้าลงทุนกล้าใช้จ่ายในเศรษฐกิจจริง ทำให้เงินไหลเข้าตลาดการเงินและดันราคาให้สูงขึ้นโดยไม่มีพื้นฐานที่ดีรองรับมากนัก ทำให้มีความเปราะบางและผันผวนสูง

นอกจากนี้ โครงสร้างทางการเงินของกิจการและธุรกิจอุตสาหกรรมบางส่วนอ่อนแอมาก และถูกซ้ำเติมจากผลกระทบการแพร่ระบาดของ COVID-19 เห็นได้จากมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นมีหนี้สินเพิ่มมากกว่า 4 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว กิจการสายการบิน กิจการขนส่ง ค้าปลีก ร้านอาหาร ฯลฯ กิจการเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยอาจต้องเพิ่มทุนในช่วงครึ่งปีหลัง หรือต้องขายทรัพย์สินเสริมสภาพคล่อง และชำระหนี้

ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทจดทะเบียนปี พ.ศ. 2563 อยู่ที่ 2.83 เท่า เมื่อเทียบกับ 2.57 เท่าในปี พ.ศ. 2561 โดยหนี้สินรวมของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 29.28 ล้านล้านบาท สูงกว่าจีดีพีประเทศประมาณเกือบ 2 เท่า

และมีแนวโน้มว่า สัดส่วนหนี้สินต่อทุนและหนี้สินรวมของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังของปี พ.ศ. 2564 ในส่วนของสัดส่วนหนี้สินต่อทุนน่าจะทะลุ 3 เท่า และหนี้สินรวมอาจทะลุ 30 ล้านล้านบาท มากกว่าสองเท่าของจีดีพีประเทศ

ขณะที่ผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนลดลงจากระดับ 9.2 แสนล้านบาทในปี พ.ศ. 2561 มาอยู่ที่ 4.1 แสนล้านบาทเท่านั้นในปี 2563 และแม้จะมีสัญญาณดีขึ้นบ้างในไตรมาสแรกปีนี้ ที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 2.58 แสนล้านบาท และไตรมาสสองผลกำไรสุทธิยังขยายตัวอยู่ แต่เชื่อว่าไตรมาสสามและสี่จะทรุดลงอย่างมากจากการขยายล็อกดาวน์และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่ลดลง

ที่น่าห่วงคือหากในปี พ.ศ. 2565-2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำกว่า 2% ก็มีความเสี่ยงจะเกิดวิกฤตหนี้สินทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยกลุ่มธุรกิจที่จะมีปัญหาในการชำระหนี้มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจสปา และเสริมสวย กลุ่มค้าปลีกขนาดเล็กขนาดกลาง กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม กลุ่มธุรกิจสายการบิน และการขนส่งคน กลุ่มธุรกิจสื่อ กลุ่มธุรกิจจัดงานแสดงสินค้าและงาน event ต่าง ๆ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มกิจการโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเอกชน เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ฐานะทางการคลังของประเทศจะอ่อนแอลง โดยมีการก่อหนี้จำนวนมาก ทำให้สัดส่วนของหนี้สาธารณะต่อจีดีพีทะลุ 60% ในปีหน้า ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปัจจุบันพุ่งทะลุ 90.5% สูงที่สุดในรอบ 18 ปีแล้ว เป็นผลจากการล็อกดาวน์ที่ไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล คนส่วนใหญ่รายได้หดตัว ว่างงาน และส่วนใหญ่เป็นหนี้ผ่อนชำระที่อยู่อาศัยประมาณ 34% ตัวเลขสูงระดับนี้เข้าข่ายวิกฤตหนี้สินครัวเรือนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขหนี้ที่ปรากฏนี้ ยังไม่นับรวมการเป็นหนี้นอกการกำกับดูแลของแบงก์ชาติและหนี้นอกระบบ ฉะนั้นตัวเลขหนี้ครัวเรือนทั้งระบบอาจทะลุ 100% ไปแล้ว

ที่สำคัญเรื่องการเป็นหนี้และไม่สามารถชำระหนี้ได้ขณะนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องการไม่มีวินัยทางการเงิน หรือก่อหนี้เกินตัว แต่เป็นเรื่องของการว่างงานและรายได้ลดลงมากกว่า ดังนั้นการปรับลดเพดานดอกเบี้ยอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก เพราะเมื่อสถาบันการเงินไม่สามารถคิดดอกเบี้ยได้ตามความเสี่ยง สถาบันการเงินก็จะไม่ปล่อยกู้ เท่ากับผลักให้ผู้มีรายได้น้อย และฐานะการเงินอ่อนแอต้องไปกู้นอกระบบแทน

จากนี้ไปสัญญาณเตือนปัญหาการผิดนัดชำระหนี้จะรุนแรงขึ้น ผลพวงจากโครงสร้างทางการเงินอ่อนแอของทั้งภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจและภาครัฐเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน