ได้ไม่คุ้มเสีย

Photo by Romeo GACAD / AFP
คอลัมน์ สามัญสำนึก
สมปอง แจ่มเกาะ

ช่วงนี้ยังทำข่าวทำงานที่บ้าน work from home เป็นหลัก

work from home ช่วงแรก ๆ อาจจะขลุกขลักอยู่บ้าง แต่พอนาน ๆ ไปเริ่มคุ้นชิน

ที่สำคัญ ช่วยลดความเสี่ยงโควิด-19 ได้มากเลยทีเดียว

ถึงวันนี้ แม้โควิด-19 จะเป็นกระแสข่าวใหญ่ที่คนสนใจมากมายหลากหลายแง่มุม แต่ในภาพรวมก็ยังมีความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่เป็นข่าวคราวให้เสพกันครบทุกรส

ไม่ว่าจะเป็นข่าวผู้กำกับโจ้คนดัง ที่กำลังเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ หรือข่าวคาวการประมูลชุดตรวจโควิด-19 ที่ดูไม่ชอบมาพากล และยังไม่รู้ว่าบทสรุปจะลงเอยอย่างไร

สำหรับแฟนกีฬาคอฟุตบอล ตอนนี้ลีกใหญ่ ๆ ในยุโรป ทั้งอังกฤษ เยอรมนี สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี ก็เริ่มเปิดสนามฟาดแข้งกันครบ

ส่วนคอการเมือง นอกจากกระแสม็อบรายวัน ตอนนี้เป็นคิวของสนามใหญ่ ศึกซักฟอก-การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เชื่อว่าตลอด 4-5 วัน (31 ส.ค.-4 ก.ย.) คงมีอะไรให้พูดคุยเมาท์มอยกันได้อีกหลายวัน

ที่กำลังได้รับความสนใจอีกข่าวก็คือ การเตรียมประกาศคลายล็อกห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านตัดผม สวนสาธารณะ ลานกีฬา ฯลฯ รวมถึงการผ่อนคลายให้ประชาชนสามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้

ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่  1 กันยายน 2564 นี้ 

นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเพื่อเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่พลเอกประยุทธ์ เคยประกาศผ่านรายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อเย็นย่ำค่ำเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา

ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเร่งมะรุมมะตุ้มการทำงาน เพื่อเริ่มสตาร์ตเครื่อง ประเดิมด้วย “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ถัดมากลางเดือนก็เปิด “สมุย พลัส” ที่บวกด้วยเกาะพะงัน เกาะเต่าเข้าไปด้วย ตามด้วยการเปิดกระบี่ พังงา เมื่อกลางสิงหาคมที่ผ่านมา และที่จ่อ ๆ เตรียมจะเปิดอีกเป็นคิวของ เชียงใหม่ หัวหิน รวมถึงพัทยาที่ตอนนี้โควิด-19 ยังหนัก

หรือสเต็ปถัดไปจะเป็นคิวของแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในภาคตะวันออก เกาะเสม็ด เกาะช้าง เตรียมตัวกันไว้ได้เลย

15-16 ตุลาคม จะครบ 120 วัน เมืองไทยของเราจะได้ฤกษ์ทำพิธีตัดริบบิ้นเปิดประเทศอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน

เหลือเวลาอีก 45-46 วันเท่านั้น

เรื่องการเปิดประเทศ-การคลายล็อก ใครจะคิดอย่างไรไม่รู้

แต่โดยส่วนตัวยอมรับเลยว่า รู้สึกเแหยง ๆ ไม่มั่นใจ เพราะความขยาดกลัวโควิดเป็นทุนเดิม และกังวลลึก ๆ ในใจว่ามันอาจจะกลับมาระบาดรอบใหม่ในเร็ววัน

ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ หลักใหญ่คือ บ้านเรามีวัคซีนน้อย และที่มีอยู่ก็เป็นวัคซีนที่ประชาชนไม่อยากฉีด

ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ต้นมีนาคมมาจนถึงวันนี้ (ตัวเลข ณ วันที่ 24 สิงหาคม) ประเทศไทยฉีดวัคซีนเข็มแรกได้เพียง 21,231,498 คน หรือประมาณ 29% ของประชากรทั้งประเทศประมาณ 72 ล้านคน ส่วนเข็ม 2 ฉีดได้เพียง 6,405,537 คน หรือ 8.9% ขณะที่เข็ม 3 ฉีดไปแล้ว 560,624 คน หรือ 0.8%

ดูจากตัวอย่างในหลาย ๆ ประเทศที่เริ่มทยอยประกาศจะเปิดประเทศ จะพบแต่ละประเทศล้วนมีอัตราการฉีดวัคซีนไม่ต่ำกว่า 75-80% และมีวัคซีนเพียงพอ ควบคู่กับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

อย่าลืมว่า วัคซีนคือหัวใจสำคัญในการสู้กับโควิด ต้องเร่งรีบหามา ต้องเร่งฉีดให้ครอบคลุมมากที่สุด อย่ามีแต่ตัวเลข และยังไม่รู้ว่าจะมีมาให้ได้ฉีดเมื่อไหร่

ขณะที่ตัวเลขยอดผู้ป่วยรายใหม่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงเฉลี่ยวันละประมาณ 19,000-20,000 คน หรือมากกว่านั้น ส่วนคนตายก็มีมากกว่าวันละ 200 คนโดยประมาณ บางวันเกือบจะแตะ 300 ก็มีให้เห็น

เปิดประเทศแล้ว คลายล็อกแล้ว อีกด้านหนึ่งเตรียมรับมือกันไว้ให้ดี ๆ