กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์ เปิดเศรษฐกิจ (ไม่เอา) ท่องเที่ยว ?

คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ

ณัฏฐ์พิชญ์ วงษ์สง่า
[email protected]

 

กรุงเทพมหานคร เมืองที่เขาว่ากันว่าต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในโลก

จากข้อมูลการสำรวจเมืองจุดหมายปลายทางของโลกเมื่อปี 2562 ของ “มาสเตอร์การ์ด อิงก์” ระบุว่า กรุงเทพฯของไทยเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามามากที่สุดในโลก ติดต่อกัน 4 ปีซ้อน

นั่นหมายความว่า “กรุงเทพฯ” ครองแชมป์เมืองที่มีนักท่องเที่ยวสูงสุดมาตั้งแต่ปี 2558 แซงหน้าเมืองท่องเที่ยวที่เป็นเดสติเนชั่นระดับโลกอย่างกรุงปารีส (ฝรั่งเศส) และกรุงลอนดอน (อังกฤษ) ขาดลอยไปกว่า 3 ล้านคน

โดยล่าสุดคือปี 2561 นั้น “มาสเตอร์การ์ด อิงก์” ให้ข้อมูลว่ากรุงเทพฯมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 22.78 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มอีก 3.34% หรือประมาณ 23.6 ล้านคนในปี 2562 โดยมียอดการใช้จ่ายติดอันดับ 3 ของโลก

ขณะที่ข้อมูลของกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่รายงานว่า ในปี 2562 ก่อนวิกฤตโควิด กรุงเทพฯเป็นจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดของไทยที่ 6.97 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 36-37% ของรายได้รวมมูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท

วันนี้ “กรุงเทพฯ” เป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายที่รัฐบาล โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในระยะต่อจาก “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” สมุยพลัส และ Phuket 7+7 Extension

เดิมทีเดียวกระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดยรัฐมนตรี พิพัฒน์ รัชกิจประการ ประกาศแผนเปิด “กรุงเทพฯ” พร้อมกับอีก 4 จังหวัดคือ ชลบุรี (พัทยา) ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) เพชรบุรี (ชะอำ) และเชียงใหม่ (อ.เมือง แม่ริม ดอยเต่า) ไว้ในวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

แต่ขณะนั้น “อัศวิน ขวัญเมือง” พ่อเมืองกรุงเทพฯ ออกโรงโต้กลับทันควันว่า ตนยังไม่เคยประกาศว่าจะเปิดกรุงเทพฯในเดือนตุลาคม พร้อมย้ำว่าคนที่ประกาศแผนไม่มีอำนาจเปิด แต่คนที่มีอำนาจเปิดคือตนเท่านั้น

ทำเอาแผนเปิด “แซนด์บอกซ์” ระยะ 2 จำนวน 5 จังหวัด รวมกรุงเทพฯ ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ สะดุดหัวทิ่ม ล้มไม่เป็นท่า ต้องประกาศเลื่อนการเปิดเป็นเดือนพฤศจิกายน 2564

เรียกว่า ทำให้แผนเปิดของพื้นที่ที่ประกาศตัวเองว่า “พร้อมมาก” อย่างเมืองพัทยา หัวหิน ต้องเลื่อนออกไปด้วย

ล่าสุด ผู้เขียนได้รับรายงานมาว่า “กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ฯ” เมืองอันกว้างใหญ่ดุจเทพนครแห่งนี้ มีเป้าหมายดีเดย์เปิด “กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์” ในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้

โดยที่ผ่านมาได้เริ่มคิกออฟแผนทำงานรองรับการเปิด “กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์” ผ่านเวทีเสวนา หารือกับภาคเอกชนแล้ว 2-3 ครั้ง โดยครั้งแรกได้เชิญสมาคมด้านธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว ฯลฯ รวม 12 สมาคมร่วมหารือ พร้อมเชิญสมาคมท่องเที่ยวภูเก็ตมาให้ข้อมูลเรื่อง “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์”

เหมือนว่าตั้งใจจะใช้โมเดลของ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” เป็นต้นแบบ

ล่าสุด กรุงเทพมหานคร เดินหน้าจริงจัง พร้อมแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ ออกประกาศเป็นคำสั่งอย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีผู้ว่าฯ อัศวิน ขวัญเมือง ลงนามไปเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564

คณะทำงานดังกล่าวมีรองผู้ว่าฯ สั่งราชการสำนักอนามัย เป็นประธาน รองปลัด สั่งราชการสำนักอนามัย เป็นรองประธาน รองปลัด สั่งราชการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เป็นรองประธาน พร้อมด้วยคณะทำงานอีก 12 คน

ในจำนวนนี้เป็นคนของกรุงเทพมหานครอีก 6 คน ตัวแทนจากหอการค้าและสภาหอการค้าไทย 2 คน ตัวแทนสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สมาคมโรงแรม สมาคมภัตตาคารไทย ททท. หน่วยงานละ 1 คน โดยมี ผอ.สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เป็นทั้งคณะทำงานและเลขานุการ

ไร้เงาตัวแทนในฟากเอกชนท่องเที่ยว อย่างสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯ หรือแม้แต่สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) หน่วยงานที่นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย

ต่างจาก “แซนด์บอกซ์” ในพื้นที่อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต สมุย ที่เปิดไปแล้ว หรือพัทยา หัวหิน ที่กำลังจะเปิดนั้นล้วนมีภาคเอกชนท่องเที่ยวเป็น “ตัวขับเคลื่อนหลัก” และมีเป้าหมายดึง “นักท่องเที่ยว” จากต่างชาติมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ

แต่ “กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์” กลับคิดต่าง และใช้หอการค้าและสภาหอการค้าฯ เป็น “ตัวนำ”

โมเดล “กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์” ที่ออกมาแบบผิดรูป ผิดคอนเซ็ปต์นี้ จึงไม่แปลกที่จะถูกจับตามองจากหลายภาคส่วนของสังคม

คำถามคือ เป้าหมายของการเปิด “กรุงเทพฯแซนด์บอกซ์” คืออะไร ? ต้องการเปิดแค่ “ธุรกิจ” ภายในประเทศ ไม่สนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติใช่หรือไม่ ?

และหากเปิด “ธุรกิจ” ได้ แต่ไม่มีกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเติมปีละ 22-23 ล้านคน และมียอดการใช้จ่ายรวม 6-7 แสนล้านบาทเข้ามาเติมธุรกิจจะไปรอดอย่างไร ?

ประเด็นนี้อยากฝากไว้ให้คิด เพราะอย่าลืมว่าธุรกิจการค้าของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะศูนย์การค้า โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ ใจกลางกรุงเทพฯนั้น ล้วนต้องพึ่งพากำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น…