ก้าวแรก แรงงานเข้าระบบ ก้าวต่อไป Labour Database

แรงงาน
คอลัมน์ ร่วมด้วยช่วยคิด

ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์, พัชยา เลาสุทแสน
สุภาพร ยั่งยืน, ดร.นครินทร์ อมเรศ

การผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดที่เริ่มในเดือน ก.ย. 64 รวมไปถึงความกังวลเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ลดลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นด้วย

จึงคาดว่าจะเห็นตลาดแรงงานค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ที่มีผู้ว่างงานและผู้เสมือนว่างงาน (ผู้เสมือนว่างงานคือผู้มีงานทำแต่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) รวมกันถึง 4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดปี’62 ณ ไตรมาสเดียวกันถึงกว่า 2 ล้านคน

อีกทั้งยังเป็นไตรมาสที่มีจำนวนผู้ว่างงานเกือบ 9 แสนคน เป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 16 ปี ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานในหลากหลายอาชีพ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีมาตรการล็อกดาวน์สูงสุดและเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นหาบเร่แผงลอย เจ้าของร้านอาหารขนาดเล็ก ช่างเสริมสวย นักร้องนักดนตรีตามผับบาร์ ผู้ขับรถแท็กซี่ ผู้รับจ้างก่อสร้าง

บางคนจึงต้องลดเวลาทำงาน/ประกอบกิจการ มากไปกว่านั้นหลายกิจการถูกรัฐสั่งปิดชั่วคราวจึงต้องหยุดงาน และไม่มีรายได้ ซึ่งก่อนหน้านี้คนส่วนใหญ่ที่ทำอาชีพอิสระก็มักไม่ได้รับความคุ้มครอง หรือไม่มีหลักประกันทางสังคมด้านการทำงานอยู่แล้ว เมื่อต้องหยุดงานจึงไม่ได้รับเงินทดแทนและการชดเชยใด ๆ จึงถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางอย่างมาก

ผลกระทบรุนแรงของโควิด-19 ที่มีต่อแรงงานทั้งในและนอกระบบ ส่งผลให้รัฐออกโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ใน 9 ประเภทกิจการ/อาชีพดังนี้

1) ก่อสร้าง 2) ที่พักแรม และบริการด้านอาหาร 3) ศิลปะ บันเทิง และนันทนาการ 4) กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ 5) ขายส่ง ขายปลีก และซ่อมยานยนต์ 6) ขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า 7) กิจกรรมการบริหาร และบริการสนับสนุน 8) กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ และ 9) ข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสาร

ผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งเข้าเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน เพียงสมัครเข้าระบบประกันตน โดยการลงทะเบียนเป็น “ผู้ประกันตนมาตรา 40” (ผู้ที่ไม่เคยประกันตน ซึ่งสมัครใจประกันตนเอง และไม่มีนายจ้างประจำ) และชำระเงินสมทบภายในระยะเวลาที่กำหนด

ด้วยแรงจูงใจจากภาครัฐดังกล่าว นับเป็นก้าวแรกของการนำแรงงานนอกระบบจำนวนมากเข้าสู่ระบบ ทำให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระเกือบ 7 ล้านคนไหลเข้าสู่ระบบประกันตน ล่าสุด ณ เดือน ต.ค. 64 ผู้ประกันตนมาตรา 40 มีจำนวนรวมกว่า 10.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากเดิมก่อนเริ่มโครงการเยียวยาเกือบ 3 เท่าตัว

การนำแรงงานนอกระบบกว่า 7 ล้านคนเข้าสู่ระบบเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ หากย้อนดูข้อมูลในอดีตพบว่า ตั้งแต่ปี 2556 มีจำนวนผู้ประกันตนมาตรา 40 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยแต่ละปีไม่เคยถึง 6 แสนคน แม้ตั้งแต่ปี 2562 ภาครัฐจะจูงใจโดยเพิ่มความสะดวกสบายในการลงทะเบียนให้ง่ายขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการสมัครผ่านทางเคาน์เตอร์เซอร์วิสแล้วก็ตาม การจูงใจของภาครัฐในปีนี้จึงถือว่าเป็นความสำเร็จขั้นต้นในการดึงคนเข้าสู่ระบบ

อย่างไรก็ดี หากก้าวแรกไม่มั่นคงก็จะทำให้ไม่สามารถเดินหรือวิ่งต่อไปข้างหน้าได้ เมื่อลองดูข้อมูลที่ภาครัฐให้กรอกตอนลงทะเบียน พบว่าเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นจากการถามคำถามเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น จึงยังขาดข้อมูลในอีกหลายด้าน หากต้องการรวบรวมเพื่อให้เกิดฐานข้อมูลของแรงงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกระบบเพื่อมุ่งไปสู่การวางนโยบายที่เหมาะสม เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อแรงงานทุกกลุ่ม

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากการสำรวจแรงงานนอกระบบของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ดำเนินการเป็นประจำทุกไตรมาส 3 ของปีพบว่า ในปีนี้มีแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบ 3 เท่าตัวเช่นกัน จึงเป็นโอกาสในการใช้ข้อมูลเพื่อปิดช่องว่างสำคัญที่ข้อมูลทะเบียนผู้ประกันตนยังขาดอยู่ ตลอดจนนำมาวิเคราะห์ลักษณะคนที่เคยอยู่นอกระบบและตัดสินใจเข้ามาในระบบตามแรงจูงใจของภาครัฐ

เมื่อวิเคราะห์ผู้ประกันตนมาตรา 40 เทียบกับช่วงก่อนโควิดปี 2562 ในมิติต่าง ๆ พบว่าสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกันตนมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

1) ผู้สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าอุดมศึกษาเพิ่ม 6%

2) คนที่ทำอาชีพที่ใช้ทักษะขั้นพื้นฐาน (unskilled) เพิ่ม 5%

3) ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่มีนายจ้างเพิ่มขึ้นถึง 18%

4) ผู้ที่ทำงานในภาคบริการเพิ่ม 6%

5) ผู้ที่ทำงานที่แผงลอยข้างถนน/ในตลาดเพิ่ม 7%

6) ผู้ที่ทำงานไม่เป็นหลักแหล่งเพิ่ม 6%

หรืออาจจะมองในภาพรวมได้ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่เข้ามาเพิ่มจากการจูงใจของภาครัฐ ส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับต่ำ ทำงานที่ใช้เพียงทักษะขั้นพื้นฐานในการประกอบอาชีพค้าขายและบริการแบบไม่มีนายจ้าง โดยเฉพาะคนที่ทำงานตามแผงลอยข้างถนน/ในตลาด และคนที่ทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง

ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำและไม่แน่นอนจึงไม่แปลกใจที่จะต้องการความช่วยเหลือและเข้าร่วมโครงการในช่วงวิกฤตโควิด หากลองนึกภาพว่าถ้าเราสามารถเก็บข้อมูลแรงงานเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่องและมีแบบสำรวจเพื่อเติมเต็มข้อมูลลงทะเบียนที่ตอนนี้มีเพียงข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลที่ได้จะมีประโยชน์มากเพียงใดต่อการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม ทันกาล และตอบโจทย์กับทุกกลุ่มเป้าหมาย

การออกแบบสำรวจเพิ่มเติมที่ดีนั้นจะมีประโยชน์อย่างมาก โดยช่วยให้ภาครัฐทราบถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้ประกันตน และนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับเปลี่ยน/เพิ่มเติมการให้สิทธิประโยชน์ที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกันตน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการจูงใจให้ผู้ประกันตนอยู่ในระบบต่อไป หรือจูงใจให้ผู้อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบได้มากขึ้น เพื่อให้เขาได้รับความคุ้มครองหรือมีหลักประกันทางสังคม

ซึ่งเป็นก้าวเริ่มต้นสำคัญของกระบวนการ labour formalization ให้คนไทยได้รับความคุ้มครองทางสังคมอย่างทั่วถึงและเพียงพอ สามารถรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้มากขึ้น เปรียบเหมือนการสอบถามความชอบของลูกค้า ก่อนลงมือทำอาหาร ทำให้สามารถปรุงเมนูอาหารได้ตรงใจกลุ่มลูกค้า กลุ่มลูกค้าเดิมก็จะทานร้านเดิมต่อไป และลูกค้ารายใหม่ก็อาจแวะเวียนเข้ามาด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ – ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์, ดร.นครินทร์ อมเรศ ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธปท., พัชยา เลาสุทแสน สำนักงานสถิติแห่งชาติ, สุภาพร ยั่งยืน สำนักงานประกันสังคม


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย