หัวหน้าต้องสร้างการเรียนรู้

เอชอาร์คอร์เนอร์
ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์
https://tamrongsakk.blogspot.com

คนไม่สนใจเรียนรู้เพราะเรียนมาน้อยจริงหรือ ?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มักถูกหยิบยกเป็นประเด็นทุกครั้งเวลาพูดถึงการเรียนรู้ของคน โดยไปเพ่งโทษที่พื้นฐานการศึกษาของคนด้วยวิธีคิดที่ว่า การที่คนเรียนจบต่ำกว่าปริญญาตรีคือคนที่ไม่สนใจใฝ่เรียนรู้ก็เลยเป็นคนไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบศึกษาเรียนรู้เรื่องราวอะไรเลย แม้แต่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อให้เก่งในงานของตัวเอง

สมมุติฐานนี้ท่านคิดว่าจริงหรือครับ ?

มีคำกล่าวอยู่คำหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนที่ผมจะจบการศึกษาอาจารย์ของผม (รศ.ศรีอรุณ เรศานนท์) ท่านได้ให้ปัจฉิมนิเทศลูกศิษย์ของท่านก่อนแยกย้ายกันไปสู่โลกการทำงานว่า…บัณฑิตคือผู้ที่สนใจใฝ่เรียนรู้ไปตลอดชีวิต ไม่ได้หมายถึงคนที่ได้รับปริญญาบัตรเพียงอย่างเดียว

ท่านว่าจริงหรือไม่ครับ ?

มีตัวอย่างให้เห็นตั้งมากมายสำหรับคนที่จบการศึกษามาน้อย แต่มุ่งมั่นทำงานและเรียนรู้จากประสบการณ์จนประสบความสำเร็จ เป็นเจ้าของกิจการ จนกระทั่งสถาบันการศึกษาต่าง ๆ มอบปริญญากิตติมศักดิ์ให้เป็นเครื่องยืนยันความรู้ความสามารถของคนเหล่านั้นว่ามีความสนใจใฝ่เรียนรู้และพัฒนาตนเองมาจนประสบความสำเร็จ

ผมเป็นคนที่เชื่อใน “พรแสวง” มากกว่า “พรสวรรค์”

นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกบางคนอาจเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในกีฬาประเภทนั้น ๆ เลยก็จริง แต่ถ้าขาดพรแสวงที่เกิดจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น ความมุ่งมั่น, การฝึกซ้อม ฯลฯ แล้วย่อมไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของการเป็นนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกได้จริงไหมครับ

ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของพรแสวงจึงอยู่ที่จะทำยังไงให้นักกีฬาเหล่านั้นเกิด “แรงจูงใจ” ภายในเพื่อผลักดันให้ตัวเองไปสู่ความสำเร็จให้ได้

การเรียนรู้ก็เช่นเดียวกัน องค์กรควรมีแนวคิดในเบื้องต้นก่อนว่าพนักงานทุกคนไม่ได้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่จะรักการเรียนรู้หรือรักการอ่านไปทั้งหมดทุกคน แต่การเรียนรู้ก็เป็นพรแสวงที่องค์กรจะทำให้เกิดกับพนักงานได้โดยการสร้างแรงจูงใจขึ้นมาให้เกิดกับพนักงานในองค์กรได้เป็นลำดับ เช่น

1.การทำตัวให้เป็นตัวอย่าง โดยหัวหน้างานทุกระดับ พ่อแม่อยากให้ลูกรักการอ่าน แต่พ่อแม่กลับไม่เคยรักการอ่าน หรือไม่เคยอ่านหนังสือให้ลูกเห็น ถามว่าลูกจะรักการอ่านได้ไหม ?

แต่ถ้าพ่อแม่พาลูกเข้าร้านหนังสือบ่อย ๆ อ่านหนังสืออยู่เป็นประจำ พูดคุยซักถามแลกเปลี่ยนเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ หรือความรู้รอบตัวบ่อย ๆ ลูกก็จะเกิดความสนใจอยากรู้ ในที่สุดลูกก็จะรักการอ่าน รักการเรียนรู้ไปเอง

องค์กรก็เช่นเดียวกัน ถ้าหัวหน้างานหรือผู้บริหารไม่เคยมีการพูดคุยในลักษณะกระตุ้นให้ลูกน้องเกิดความสนใจ เกิดความสงสัยขึ้นเสมอ ๆ แล้วปล่อยให้ลูกน้องทำงานประจำไปวัน ๆ อย่างนี้หัวหน้าจะมาบ่นหรือต่อว่าลูกน้องไม่ขวนขวายรักการเรียนรู้ได้ยังไงล่ะครับ

ปัจจัยที่มีความสำคัญที่สุดจึงอยู่ที่การกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจจากผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้นลงมายังผู้ใต้บังคับบัญชา

2.สร้างแหล่งเรียนรู้ให้เข้าถึงง่าย เมื่อมีการกระตุ้นให้เกิดความสนใจขึ้นมาโดยหัวหน้าแล้ว องค์กรควรมีแหล่งการเรียนรู้เพื่อให้พนักงานเข้าถึงได้แบบง่าย ๆ ซึ่งเท่าที่ผมเห็นมาก็มีทำกันอยู่แล้วในหลายองค์กร เช่น การจัดให้มีห้องสมุด, มีหนังสือพิมพ์ส่วนกลางให้พนักงานอ่าน, บางแห่งก็มีโทรทัศน์ติดไว้ในห้องอาหารเพื่อให้พนักงานดูข่าวสารบ้านเมือง ซึ่งสื่อเหล่านี้ก็เป็นแหล่งการเรียนรู้แบบพื้นฐานที่ดีครับ

3.จัดการประชุมในลักษณะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน (forum) ระหว่างหน่วยงานในลักษณะของการนำความรู้ในงานของตนเองมาบอกเล่าให้หน่วยงานอื่นทราบ (share learning) เป็นประจำ เช่น จัดประชุม share learning ทุก ๆ 3 เดือน ซึ่งการประชุมดังกล่าวควรเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับเข้าร่วมรับฟัง

เรื่องที่นำมาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องงานเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นเรื่องความรู้รอบตัวที่น่าสนใจ เช่น การให้พนักงานที่ไปงานทอดกฐินของบริษัทในต่างจังหวัดมาเล่าเรื่องราวความประทับใจให้เพื่อนพนักงานฟัง เป็นต้น

หลักของการจัดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในแบบนี้คือการทำให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้นำการแสดงความคิดเห็น หรือเปิดโอกาสให้มีการซักถามไขข้อข้องใจ ฯลฯ ไม่ควรผูกขาดการเล่าเรื่องไว้ที่ผู้บริหารหรือหัวหน้าเพียงบางคน

4.การจัดตั้งชมรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในองค์กร เช่น ชมรมกีฬา ชมรมถ่ายภาพ ชมรมท่องเที่ยว ฯลฯ แล้วก็ให้ชมรมเหล่านี้เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำกิจกรรมตามข้อ 3 ก็ยังได้ ซึ่งจะทำให้เกิดกิจกรรมต่อเนื่องและเสริมสร้างการเรียนรู้ทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการขึ้นในหมู่พนักงาน

5.การสร้างและจัดการฐานความรู้ในองค์กร เมื่อมาถึงเรื่องนี้หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “การจัดการความรู้” หรือ “knowledge management” (KM) กันมาบ้างแล้วนะครับ พูดแบบง่าย ๆ คือห้องสมุดแบบดิจิทัล (digital) นั่นเอง คือการนำองค์ความรู้ทั้งหลายไปใส่ไว้ในฐานข้อมูลที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กร แล้วให้พนักงานที่สนใจอยากจะรู้เรื่องอะไรก็เข้าไปที่ฐานข้อมูลนั้น ๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากเรียนรู้

แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าองค์กรไม่กระตุ้นให้คนเกิดความอยากที่จะเรียนรู้เสียก่อนแล้ว ถึงมีห้องสมุดคนก็ไม่เข้าไปใช้บริการห้องสมุดหรอกนะครับ ผมเห็นมาหลายองค์กรแล้วที่อุตส่าห์ทำห้องสมุดขึ้นมา แต่ก็กลายเป็นห้องสมุดร้างเพราะไม่มีพนักงานเข้าไปนั่งอ่านหรือใช้ห้องสมุดนั้นเลยจนต้องปิดไปในที่สุด เพราะไม่มีการกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้คนเกิดความอยากเรียนรู้เสียก่อนนั่นเอง

เรื่องที่ผมแลกเปลี่ยนมาให้ท่านทราบข้างต้นเป็นเพียงข้อคิดเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์ของผมนะครับ ซึ่งการกระตุ้นการเรียนรู้ของคนนั้นบอกได้เลยว่าต้องใช้เวลาและอยู่ที่นโยบายขององค์กรที่ต้องการจะสร้างวัฒนธรรม หรือสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ให้เกิดในองค์กรนั้น ๆ จริงหรือไม่

ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเวลา+ความต่อเนื่องในนโยบายขององค์กรเป็นสำคัญครับ